ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะเกิดขึ้นและได้ทำหน้าที่ช่วยดูแลคนไทยได้กว่า 48 ล้านคน โดยทำให้ประชาชนไม่ต้องล้มละลายจากการเป็นหนี้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ หรือการเกิดระบบดูแลจัดการการให้บริการด้านสุขภาพที่มีประสิทธิภาพ เกิดองค์กรรูปแบบใหม่ๆ ที่เข้ามาช่วยดูแลป้องกันหรือจัดการปัญหาสุขภาพของคนไทย อย่างเช่นสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.) ฯลฯ ตลอดจนเกิดการพัฒนาบทบาทการดำเนินงานของหน่วยงานสำคัญๆ ที่อยู่ในองคาพยพด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้นับว่าเป็นผลงานรูปธรรมที่สำคัญของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ในอดีตในการจัดการความรู้และผลักดันจนเกิดเป็นนโยบาย ระบบ กลไก หรือองค์กรต่างๆ ดังกล่าวโดยสามารถเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้อย่างมาก
แต่ทว่า ระบบสุขภาพของไทยยังมีช่องว่างที่ต้องการองค์ความรู้จาก สวรส. เข้าไปเติมเต็มระบบอยู่อีกมาก ซึ่งหากจะมองระบบสุขภาพให้ชัด เราจะเห็นมิติในเชิงประเด็นปัญหาและกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอยู่อย่างสลับซับซ้อน ตั้งแต่ปัจจัยด้านพฤติกรรมของประชาชนที่ส่งผลต่อภาพรวมปัญหาสุขภาพของประเทศ เช่น พฤติกรรมเสี่ยงจากการกินอาหารทำลายสุขภาพ การดื่มสุรา สูบบุหรี่ ไม่ออกกำลังกาย ฯลฯ หรือรูปแบบการดำรงชีวิตหรือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป เช่น ความเร่งรีบ ความเครียด การเผชิญมลภาวะ ที่ทำให้ประชากรของประเทศต้องเผชิญกับปัญหาโรคอุบัติใหม่หรือโรคที่เคยควบคุมได้กลับมาเป็นปัญหากับสังคมอีกครั้ง ตลอดจนปัญหาจากสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง หรือสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ส่งผลการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของวัยรุ่นตั้งครรภ์ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ภัยพิบัติ หรือโครงสร้างของปัญหาสุขภาพที่สลับซับซ้อนขึ้น เช่น ความรุนแรงของโรคกับการใช้ยาที่เพิ่มขึ้นและเทคโนโลยีที่สูงขึ้น การเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพได้มากขึ้น ที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่รัฐต้องดูแลสูงขึ้นตามไปด้วย ขณะที่บุคลากรสาธารณสุขมีจำกัดรวมทั้งมีแนวโน้มไหลออกนอกระบบอย่างต่อเนื่อง หากภาครัฐไม่สามารถบริหารจัดการและสร้างระบบดูแลกำลังคนได้ไม่ดี และอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่รอเราอยู่ข้างหน้า คือ การเปิดประตูสู่อาเซียน ที่การหมุนเวียนถ่ายเทของผู้คนชาติต่างๆ เข้าและออกประเทศที่จะส่งผลต่อระบบการบริการและระบบสุขภาพในภาพรวมอย่างแน่นอน ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นปัจจัยที่ สวรส. ต้องนำมาวิเคราะห์และบูรณาการความรู้จากหลากหลายสาขาวิชาเพื่อการแก้ปัญหาหรือเตรียมพร้อมรองรับกับสิ่งเหล่านี้ที่จะเกิดขึ้นและมีผลต่อระบบสุขภาพทั้งสิ้น
ระยะต่อไป สวรส. โดยกระผมในบทบาทของการนำพาองค์กรสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ จำเป็นต้องวางแผนงานวิจัยที่มีขอบข่ายตั้งแต่ห้องปฏิบัติการทดลอง คลินิก ระบาดวิทยา สังคมและพฤติกรรม ไปถึงนโยบายสาธารณะ โดยต้องมีการถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีลงสู่ระบบบริการสุขภาพอย่างมีประสิทธิภาพและเน้นลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ นอกจากนั้นการพัฒนาโจทย์วิจัยเชิงระบบในแต่ละกลุ่มอายุที่มีสาเหตุการตายที่ต่างกัน และกำหนดเป้าหมายการสร้างเสริมสุขภาพในแต่ละกลุ่ม เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพและการเกิดโรคอุบัติใหม่ รวมทั้งการประสาน “ผู้ทำ” และ “ผู้ใช้” งานวิจัยด้านสุขภาพเพื่อร่วมจัดการความรู้และการนำไปใช้ประโยชน์ภายใต้เป้าหมายลดความซ้ำซ้อน ไม่แยกส่วน นำไปสู่เอกภาพและการเสริมศักยภาพซึ่งกันและกัน
ทั้งนี้รัฐบาลมีแนวโน้มการลงทุนด้านงานวิจัยและด้านบริการสุขภาพเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งในช่วงที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเพิ่มเป็น 5.5% GDP ในปี 2560 ระบบการเงินการคลังสุขภาพจะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ระบบสุขภาพเกิดความเป็นธรรมและมีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรและคุณภาพการให้บริการ รวมทั้งในโอกาสที่กระทรวงสาธารณสุขได้ปฏิรูประบบบริการด้วยแนวคิดการจัดผังบริการสุขภาพที่เป็นเครือข่ายบริการแบบเบ็ดเสร็จไร้รอยต่อ จำเป็นต้องมีการปรับระบบอภิบาล ระบบบริการ และระบบประกันสุขภาพเพื่อการให้บริการประชาชนได้อย่างเท่าเทียม โดยการกระจายการบริหารจัดการไปยังพื้นที่และการบริหารเครือข่ายแบบกึ่งอิสระ การมีส่วนร่วมมากขึ้นจากภาคเอกชน และกำหนดตัวชี้วัดที่เป็นเป้าหมายคุณภาพบริการให้กับผู้บริหารเครือข่ายบริการระดับเขต ซึ่งระบบนี้จะช่วยแก้ปัญหาการเงินในระบบบริการสุขภาพที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
ดังนั้น งานวิจัยของ สวรส. จะต้องทำหน้าที่ในการประเมินความสำเร็จและความคุ้มค่า การค้นหาระบบสุขภาพที่พึงประสงค์ของประเทศ การหารือความร่วมมือระหว่างองค์กรแหล่งทุนวิจัยเพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์วิจัยของประเทศที่มุ่งเป้าชัดเจนและความร่วมมืออย่างมีทิศทางและเกิดเอกภาพร่วมกัน
โดย 4 ยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้บทบาทการบริหารขับเคลื่อน สวรส. ไปสู่เป้าหมายการแก้ปัญหาสำคัญต่างๆ ดังกล่าวนี้ คือ ยุทธศาสตร์ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยในประเด็นสำคัญต่อระบบสุขภาพ โดยเริ่มจากการสร้างองค์ความรู้พื้นฐาน เพื่อให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้ (Self care) ไปจนถึงการสร้างองค์ความรู้เพื่อพัฒนาระบบบริการในเขตบริการสุขภาพ ให้สามารถเชื่อมโยงงานได้แบบไร้รอยต่อ ก่อนที่จะบูรณาการองค์ความรู้เพื่อนำไปสู่การสร้างระบบสุขภาพที่ยั่งยืน ยุทธศาสตร์เสริมสร้างสมรรถนะนักวิจัยด้านสุขภาพและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต การพัฒนาขีดความสามารถของนักวิจัยให้มากขึ้น โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเพิ่มทุนวิจัยในการทดลองยาในสัตว์ การทดลองทางคลินิก และการวิจัยแบบมีส่วนร่วมจากชุมชนและภาคเอกชน เพื่อให้สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ยุทธศาสตร์ พัฒนาระบบบริการจัดการวิจัยแบบครบวงจร และยุทธศาสตร์บริหารจัดการเพื่อนำผลงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และเชิงนโยบายสาธารณะเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพได้อย่างยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดผมคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม 4P สำคัญ คือ
1.Publication (ผลงานตีพิมพ์)
2.Product (ผลิตภัณฑ์หรือนวัตกรรมทางการแพทย์)
3.practice (การทดลองทางคลินิก)
4.Policy (นโยบายสาธารณะ)
โดยผลลัพธ์ของสิ่งต่างๆดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยที่น่าจะได้เห็นกันใน 5 ปีแรก คือ การลดปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุการตาย 3 อันดับแรก การพัฒนาระบบเครือข่ายบริการระดับเขตให้มีความยั่งยืน จำนวนนักวิจัยที่เพิ่มขึ้นและผลงานวิจัยที่มีคุณภาพ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และมีระบบสารสนเทศที่สามารถบูรณาการงานวิจัย นักวิจัย และเครือข่ายในระบบสุขภาพของประเทศได้
กล่าวโดยสรุปคือ สวรส. ในยุคการบริหารของผม จะทำหน้าที่ค้นหาประเด็นปัญหาสุขภาพของประเทศ และผสานองคาพยพในระบบสุขภาพทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งองค์กรวิชาชีพและแหล่งทุนวิจัย ได้เข้ามาร่วมสร้างโจทย์วิจัยภายใต้ปัญหาสุขภาพของประเทศร่วมกัน และผลักดันให้มีการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยทำให้ประชาชนสามารถดูแลสุขภาพของตนเองได้ ทำให้เขตบริการสุขภาพสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบริหารจัดการคน เงิน ของ ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด
การถมช่องว่างในระบบสุขภาพเหล่านี้ คือความท้าทายอีกช่วงสำคัญของสวรส. ที่จะต้องก้าวผ่านสถานการณ์ปัญหาสุขภาพเหล่านี้ไปให้ได้ บนบทบาทของ “การขับเคลื่อนองค์ความรู้เพื่อระบบสุขภาพที่สมดุลและยั่งยืน นำสู่สุขภาพดีและชีวิตที่ยืนยาวของประชาชน”
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้