ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ‘แรงงานข้ามชาติ’ นับเป็นตัวแปรสำคัญในระบบเศรษฐกิจไทย โดยคิดเป็นร้อยละ 10 ของแรงงานทั้งหมด และมีบทบาทต่อการสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สูงถึงร้อยละ 6.6[1] อย่างไรก็ตาม จากการศึกษากลับพบว่าแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ที่มีอยู่ราว 4.65 ล้านคน ในจำนวนนี้ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย 3.65 ล้านคน รวมทั้งยังเผชิญอุปสรรคทางภาษาและการเข้าถึงข้อมูลสุขภาพ โดยผลสำรวจพบว่าร้อยละ 45.5 ไม่มีหลักประกันสุขภาพ ในขณะที่ร้อยละ 32.9 มีอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพเนื่องจากกำแพงภาษา[2] ทั้งนี้ปัญหาด้านสุขภาพไม่ใช่เฉพาะแต่กลุ่มของแรงงานข้ามชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ‘ประชากรข้ามชาติ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังวันที่ 31 ธ.ค. 2568 เป็นต้นไป ที่เงินช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาซึ่งเคยสนับสนุนการดูแลด้านมนุษยธรรม รวมทั้งการจัดบริการสุขภาพมาเป็นเวลานานจะสิ้นสุดลง ซึ่งจะกระทบโดยตรงกับค่ายผู้ลี้ภัยจำนวน 9 แห่ง ที่อยู่บริเวณแนวชายแดนด้านตะวันตกของประเทศ
ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของแรงกดดันและความท้าทายครั้งสำคัญ ที่ทำให้การประชุมวิชาการสุขภาพประชากรข้ามชาติ เนื่องในวันประชากรข้ามชาติสากล ประจำปี พ.ศ. 2568 (Migrant Health Forum on International Migrants Day, 2025) ซึ่งสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับองค์การอนามัยโลก ประจำประเทศไทย (WHO) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และภาคีเครือข่ายต่างๆ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2568 อัดแน่นไปด้วยข้อมูลงานวิจัย และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เพื่อที่จะเร่งแสวงหาแนวทางเชิงนโยบายในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไป
ผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์ทำงานเรื่องนี้มาอย่างยาวนาน นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการ สวรส. สะท้อนถึงสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องอธิบายให้เห็นว่า สุขภาพของทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทย มีผลต่อความมั่นคงของประเทศ เพราะตราบใดที่ผู้คนสุขภาพไม่ดี มีการเจ็บป่วย มีโรคติดต่อ ฯลฯ ล้วนส่งผลกระทบในเชิงความมั่นคงได้ทั้งสิ้น จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเราจำเป็นต้องดูแลสุขภาพของคนทุกคน ไม่เพียงเฉพาะแต่ผู้ที่เป็นคนไทยเท่านั้น เพราะปรากฏการณ์ย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ มีโอกาสเกิดขึ้นทั่วโลกและตลอดเวลา รวมถึงประเทศไทยที่มีสถานะเป็นที่พึ่งของหลายประเทศโดยรอบ ซึ่งไม่อาจปฏิเสธการอยู่ร่วมกันได้
“แรงงานข้ามชาติ รวมถึงผู้ติดตามที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย คนเหล่านี้เข้ามาทำงานและมีส่วนในการผลักดันเศรษฐกิจไทย จึงอยากให้เข้าใจว่าทำไมเราต้องดูแลเขา และที่สำคัญคือเรื่องสุขภาพถือเป็นความมั่นคงอย่างหนึ่ง หากประเทศใดมีแต่การเจ็บป่วย มีโรคระบาด สังคมคงอยู่ไม่ได้ ดังนั้นในฐานะที่เขาเป็นเพื่อนมนุษย์ และตามความจริงเขาก็มาทำประโยชน์ให้ประเทศ เราจึงควรต้องดูแลเขาตามสมควร ในขณะที่ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของประเทศยังไม่ครอบคลุมกลุ่มคนที่ไม่ใช่สัญชาติไทย ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันออกแบบระบบที่จะรองรับเรื่องนี้” นพ.ศุภกิจ อธิบาย
ผู้อำนวยการ สวรส. ยังฉายภาพไปถึงสถานการณ์ล่าสุด เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศตัดความช่วยเหลือองค์กรระหว่างประเทศที่เคยเข้าไปดูแลผู้อพยพที่อยู่ในค่ายลี้ภัย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปให้บริการสุขภาพ หรือตามจ่ายเมื่อถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลภายนอก ซึ่งการช่วยเหลือของสหรัฐฯ ทั้งหมดจะสิ้นสุดลงหลังวันที่ 31 ธ.ค.นี้ ดังนั้นคำถามสำคัญ คือเราจะดูแลช่วยเหลือคนเหล่านี้ต่อไปอย่างไร ในระหว่างที่กระทรวงสาธารณสุขกำลังของบกลางจากรัฐบาล ซึ่งจะปล่อยปัญหาให้ยาวนานต่อไปไม่ได้ เนื่องจากจะกลายเป็นภาระให้กับโรงพยาบาลในพื้นที่ต้องแบกรับ
“แนวทางบางส่วนที่กำลังมองกัน เช่น ภาคเอกชนจะเข้าไปขายบัตรประกันสุขภาพให้กับคนในค่าย ภายใต้การสนับสนุนขององค์กรระหว่างประเทศ หรือการหาแหล่งทุนอื่นๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐฯ อย่างเดียว แต่เมื่อสหรัฐฯ ตัดเงิน อาจมีผลทำให้ประเทศอื่นๆ เลียนแบบได้ ดังนั้นคิดว่าประเทศไทยอาจต้องกลับมาดูแล 9 ค่ายผู้ลี้ภัยนี้เอง ซึ่งปีๆ หนึ่งใช้งบประมาณ 200-300 ล้านบาท ซึ่งคิดว่าอยู่ในวิสัยที่ประเทศไทยสามารถจัดสรรงบประมาณมาใช้จ่ายได้ และที่สำคัญจะเป็นภาพลักษณ์ที่ดีต่อสายตาชาวโลก ว่าประเทศไทยไม่ทอดทิ้งใคร ดังนั้นรัฐบาลควรพิจารณาสนับสนุนงบกลางในส่วนนี้มาให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ” นพ.ศุภกิจ ระบุ
นพ.ศุภกิจ ยังกล่าวต่อไปถึงอีกแนวทางที่เกิดขึ้นจากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 เรื่องระบบสุขภาพเชิงรุกท่ามกลางความผันผวนทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายที่ภาคีเครือข่ายจำนวนมากได้ร่วมกันรับรองไปเมื่อช่วง พ.ย.ที่ผ่านมา บนกรอบทิศทางสำคัญที่ต้องการให้เกิดกลไกในการทำงานเรื่องนี้แบบเป็นเชิงรุก ไม่ใช่การรับมือเมื่อเกิดสถานการณ์ผู้อพยพเข้ามาเป็นครั้งๆ ภายใต้ข้อเสนอ เช่น การจัดวัคซีนให้กับกลุ่มคนไม่มีสัญชาติอย่างชัดเจนและเป็นระบบ การเผชิญเหตุที่ไม่ใช่ให้บุคลากรต้องเข้าไปแบกรับภาระ การมีระบบข้อมูลที่ดีรองรับ การยืนยันตัวตนด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (Biometrics) เป็นต้น
สำหรับเวทีประชุมวิชาการสุขภาพประชากรข้ามชาติครั้งนี้ ยังได้มีการนำเสนอผลงานวิชาการเพื่อเป็นองค์ความรู้ในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสุขภาพประชากรข้ามชาติ โดยหนึ่งในนั้นคือ โครงการสังเคราะห์ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านระบบบริการสุขภาพสำหรับประชากรที่ไม่ใช่สัญชาติไทย: กลุ่มประชากรผู้ลี้ภัยความไม่สงบในพื้นที่ชายแดน ซึ่งเป็นงานวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากแผนงานสุขภาพประชากรข้ามชาติ (CCS: Migrant Health) สวรส. ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง WHO กับรัฐบาลไทย
นพ.ภาณุวิชญ์ แก้วกำจรชัย สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะคณะผู้วิจัยโครงการฯ ได้บอกเล่าถึงผลลัพธ์ของการศึกษาที่ดำเนินการในช่วงปลายปี 2567 ถึงต้นปี 2568 โดยพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผู้ขอลี้ภัยบริเวณแนวชายแดนภาคตะวันตกระหว่างไทยกับเมียนมา ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรผู้ปฏิบัติงานในค่ายผู้ลี้ภัย โรงพยาบาล องค์กรระหว่างประเทศ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ฯลฯ
นพ.ภาณุวิชญ์ สะท้อนว่า แม้ค่ายเหล่านี้จะถูกระบุว่าเป็นค่ายผู้ลี้ภัยชั่วคราว แต่กลับอยู่อย่างถาวรมายาวนานกว่า 40 ปี นับตั้งแต่ปี 2527 และสถานการณ์ยิ่งเพิ่มความรุนแรงหลังเกิดเหตุการณ์รัฐประหารในเมียนมา ปี 2564 ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาจำนวนมาก หากแต่ความท้าทายใดๆ ก็เทียบไม่ได้กับการที่กลไกความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ ที่เคยดูแลคนในค่ายผู้ลี้ภัยกว่า 7-8 หมื่นคนมาอย่างยาวนาน จะถูกตัดลง ทำให้พบกับความเปราะบางสำคัญว่า เราไม่เคยเตรียมตัวมาก่อน เพราะคิดว่าความช่วยเหลือนี้จะอยู่กับเราตลอดไป
นพ.ภาณุวิชญ์ ยังให้ภาพต่อถึงความสำคัญของหลักการที่ว่า ‘No one is safe until everyone is safe’ ซึ่งทุกคนในประเทศจะไม่มีวันปลอดภัยหากทุกคนยังไม่ปลอดภัย ตัวอย่างเช่น การควบคุมโรคติดต่อบริเวณชายแดน ที่โรคบางอย่างในเขตเมืองอาจไม่พบแล้วหรือพบน้อยมาก แต่พื้นที่ชายแดนยังมีอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นวัณโรค เอชไอวี มาลาเรีย ฯลฯ และเชื้ออีกหลายอย่าง จึงเป็นความมั่นคงด้านสุขภาพที่ต้องควบคุมให้ได้ตั้งแต่ที่ชายแดน ไม่เช่นนั้นปัญหาเหล่านี้สามารถที่จะเดินทางเข้ามาถึงในเมืองได้อย่างง่ายดาย ซึ่งงบประมาณความช่วยเหลือที่หายไป ไม่ใช่เพียงการจัดบริการสุขภาพในค่ายเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งยังเป็นงบที่ถูกใช้ในการเฝ้าระวัง คัดกรอง และป้องกันโรค
นพ.ภาณุวิชญ์ สรุปถึงข้อเสนอจากงานวิจัยว่า สิ่งที่ต้องรักษาไว้คือการส่งเสริมป้องกันโรคและบริการผู้ป่วยนอก (OPD) ภายในค่าย เพราะหากตัดสินใจยุติบริการทั้งหมด แม้ช่วงแรกจะดูเหมือนไม่ต้องใช้เงิน แต่แบบจำลองสถานการณ์พบว่าปัญหาจะกลับมาหนักกว่าเดิม เมื่อผู้คนป่วยหนักก็จะเข้ามาเพิ่มภาระที่ระบบสุขภาพมากขึ้น ซึ่งค่าใช้จ่ายจะมากกว่าการจัด OPD ให้ในค่าย รวมไปถึงการเปิดทางให้ผู้ลี้ภัยสามารถที่จะดูแลกันได้เอง ตลอดจนการยืนยันตัวตนที่ต้องใช้ระบบ Biometrics ฯลฯ
“อีกสิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนผ่านระยะยาว เรามีค่ายชั่วคราวที่อยู่มาถึง 40 ปี ถึงจุดที่เราต้องตั้งคำถามแล้ว ตามเอกสารระบุว่าคนในค่ายฯ จะหายไปได้ด้วยสองกรณีเท่านั้น คือไปยังประเทศที่สาม กับผลักดันกลับประเทศ ด้วยสองเงื่อนไขที่เป็นอยู่ ชี้ชัดว่ายังไม่สำเร็จเท่าที่ควร ค่ายฯ ยังอยู่ และคนในค่ายฯ ก็ยังคงอยู่และมีบุตรหลานของผู้ขอลี้ภัยเพิ่มขึ้น ฉะนั้นเราต้องพิจารณาทางเลือกใหม่ว่าจะจัดการในทางบวกได้อย่างไร มีการพูดถึงโอกาสที่จะเข้ามาทดแทนแรงงานไทย ในวันที่เด็กเกิดน้อย ผู้สูงวัยเพิ่ม ทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้มีคุณภาพและหาทางที่จะทำให้ถูกกฎหมายได้ในอนาคต” นพ.ภาณุวิชญ์ ระบุ
ช่วงท้ายของการประชุมวิชาการฯ ดร.สุรสักย์ ธไนศวรรยางคกูร ที่ปรึกษาแผนงานสุขภาพประชากรข้ามชาติ สวรส. ระบุว่า การประชุมวันนี้ได้ข้อคิดเห็นและข้อสรุปต่างๆ มากมาย ที่ทางคณะทำงานได้พิจารณาว่าไม่อยากให้เวทีจบลงโดยที่เนื้อหาสาระไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ และถูกนำไปใช้ในการพัฒนานโยบายให้กับองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงได้ทำการรวบรวมประเด็นที่เกิดขึ้นออกมาเป็นข้อเสนอ “Safe Migration Policy Lab for call to action” หรือข้อเรียกร้องสำหรับสุขภาพประชากรข้ามชาติ โดยมีสาระสำคัญคือ การยึดมั่นว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิในสุขภาพโดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์โยกย้ายถิ่นฐานหรือภูมิหลัง ซึ่งรัฐบาลไทยมีพันธะหน้าที่หลักในการคุ้มครองสุขภาพของมนุษย์ และจำเป็นที่หน่วยงานต่างๆ จะต้องมองว่า แนวคิดการโยกย้ายถิ่นฐานเป็นลักษณะทางธรรมชาติและภูมิทัศน์ทางสังคม โดยหนึ่งในความท้าทายสำคัญคือการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และการขับเคลื่อนนโยบายสุขภาพประชากรข้ามชาติด้วยข้อมูลและหลักฐานเชิงประจักษ์
พร้อมกันนี้ยังมีข้อเสนอที่สอดคล้องกับหลักการนโยบายห่วงใยสุขภาพ (HiAP) โดยหน่วยงานรัฐระดับชาติ ควรปรับแนวทางเกี่ยวกับการดูแลผู้โยกย้ายถิ่นฐานและสุขภาพประชากรข้ามชาติ โดยควรให้ความสนใจอย่างต่อเนื่องและเป็นเอกภาพ พร้อมจัดหาเงินทุนและให้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องกับองค์กรที่เกี่ยวข้อง และภาคประชาสังคมในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในระดับรากหญ้า ควรปรับปรุงโครงสร้างและระบบบริการสุขภาพสำหรับประชากรข้ามชาติควบคู่ไปกับการจัดหาเงินทุนใหม่ พร้อมปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของประชากรข้ามชาติ ไม่ให้ถูกส่งต่อเพื่อวัตถุประสงค์ในการบังคับใช้กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองหรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
“ลำดับแรกจะทำหนังสือส่งข้อเสนอไปที่กระทรวงสาธารณสุข ถัดมาในช่วงเดือน ม.ค. 2569 จะมีการจัดเวทีเพื่อทำข้อเสนอส่งถึงพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งจะเชิญผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาฟังข้อเรียกร้องต่างๆ และสุดท้ายเมื่อได้รัฐบาลใหม่แล้ว คณะทำงานจะทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ต่อไป” ดร.สุรสักย์ กล่าวถึงขั้นตอนการขับเคลื่อนข้อเรียกร้องดังกล่าว
.........................
ข้อมูลจาก
1รายงานการย้ายถิ่นของ ประเทศไทย 2567 (IOM Thailand)
https://thailand.iom.int/sites/g/files/tmzbdl1371/files/documents/2025-04/thailand-migration-report-2024-th.pdf
2ผลสำรวจประชากรข้ามชาติ ปี 2568 (สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย)
https://www.thaihealth.or.th/%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%AA-%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B5-%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0/
The Lab
มะกันถอนความช่วยเหลือฉับพลัน เป็นเรื่องยากจะคาดเดาล่วงหน้า และกระทบต่อความมั่นคงทางสุขภาพของไทยแน่นอน งานวิจัยของทีมรามาเป็นตัวอย่างของความพยายามทางวิชาการเพื่อสะท้อนคิดว่าอะไรได้เกิดขึ้แล้วและจะคลี่คลายไปอย่างไร ระบบสุขภาพไทยควรตอบสนองอย่างไร เป็นท่าทีแบบตั้งรับที่จำเป็น ทังในระยะสั้นและระยะยาว ถ้าเสริมด้วยท่าทีเชิงรุก ด้วยการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า แล้วทำการทดลอง น่าจะทำให้ไทยมีเครื่องมือ กลไกใหม่เพื่อรองรับการปรับตัวอย่างยืดหยุ่นได้มากขึ้น(resilience)หรือไม่ การทดลองควรเป็นปฏิบัติการร่วมกันระหว่างสหสาขา สหวิทยาการให้สอดคล้องกับความซับซ้อนของเรื่องย้ายถิ่นฐาน/แรงงานข้ามชาติ ทั้งสองท่าทีล้วนต้องการความมุ่งมั่นในระยะยาว ถามว่า กลไกเชิงสถาบันที่มีอยู่เพียงพอหรือไม่ที่จะรองรับสิ่งนี้
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้