การประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ครั้งที่ 10/2568 มี นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานฯ และ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กรรมการเเละเลขานุการ พร้อมด้วยกรรมการจากผู้เเทนกระทรวง เเละผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ร่วมประชุม เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2568 ณ ห้องประชุมสุปัญญา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ
ในการประชุมฯ มีการนำเสนอผลงานวิจัย “การพัฒนาและขยายผลแพลตฟอร์มเทคโนโลยีรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ด้วยมาตรฐานความปลอดภัยโครงสร้างรถ ระบบจัดการอากาศและระบบรับแจ้งฉุกเฉินดิจิทัล” โดย ดร.ศราวุธ เลิศพลังสันติ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สรุปสาระสำคัญของงานวิจัยว่า จากสถิติของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) พบว่า ช่วงปี 2559-2562 มีอุบัติเหตุรถพยาบาลฉุกเฉิน 110 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 318 คน เป็นบุคลากรทางการแพทย์ 129 คน ทำให้โดยเฉลี่ยมีการสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์เดือนละ 1 คน ซึ่งกรณีอุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเป็นกรณีรถพลิกคว่ำหรือถูกชนด้านข้าง จนนำไปสู่โอกาสของการสูญเสียชีวิตของทั้งผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ นอกจากนี้ภายในรถพยาบาลฉุกเฉินยังพบปัญหาการขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจ ตลอดจนระบบ Telehealth ที่มีอยู่ มีความหลากหลาย ไม่สามารถเชื่อมโยงหรือรวบรวมข้อมูลสัญญาณชีพต่างๆ ได้ และขั้นตอนการรับแจ้งเหตุเพื่อยืนยันตัวตนหรือส่งพิกัดมีความล่าช้า งานวิจัยจึงพัฒนาต่อยอดต้นแบบรถบริการการแพทย์ฉุกเฉินรองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ด้วยแพลตฟอร์มเทคโนโลยี 3 แพลตฟอร์ม ได้แก่ 1) แพลตฟอร์มเทคโนโลยีการออกแบบโครงสร้างตัวถังและชุดยึดเครื่องมือแพทย์ของรถฉุกเฉินให้มีความแข็งแรงตามมาตรฐานระดับสากล ได้แก่ มาตรฐาน UN R66 และ EN 1789 ตามลําดับ 2) แพลตฟอร์มเทคโนโลยีระบบจัดการอากาศภายในรถ ให้รองรับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ ได้แก่ ระบบสร้างความดันลบ และอุปกรณ์แยกผู้ป่วยที่ได้มาตรฐาน ISO 14644 และ 3) แพลตฟอร์มระบบรับแจ้งฉุกเฉินดิจิทัล D1669 ให้เข้ากับความต้องการของผู้ใช้ โดยมีการทดสอบการใช้งานจริงของแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่พัฒนา โดยตัวแทนหน่วยงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
“งานวิจัยเน้นเรื่องความปลอดภัยที่ได้ตามมาตรฐานสากลเป็นสำคัญ โดยมีการออกแบบโครงสร้างรถฯ ที่แข็งแรงปลอดภัยทั้งภายนอกและภายใน พร้อมมีการทดสอบความแข็งแรงของตัวถังรถ ตามมาตรฐานสากล SAEJ 3057 และความแข็งแรงของชุดยึดตรึงเครื่องมือแพทย์ ตามมาตรฐาน EN 1789 และ AMD003 เพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุรถพยาบาลพลิกคว่ำหรือชนด้านข้าง มีระบบจัดการอากาศรองรับโรคอุบัติใหม่ โดยพัฒนาห้องแยกเคลื่อนย้ายผู้ป่วยความดันลบภายในรถที่ได้มาตรฐาน ISO 14644 / ISO 14698-1 เพื่อป้องกันการติดเชื้อสู่บุคลากรทางการแพทย์ มีเทคโนโลยี ETO (Emergency Telemedical Operation) ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลสัญญาณชีพผู้ป่วยและภาพวิดีโอแบบ Real-time ผ่านระบบ Cloud เพื่อให้แพทย์สามารถสั่งการรักษาทางไกลได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉินดิจิทัลที่นำมาใช้ในแพลตฟอร์มประกอบด้วย 2 เทคโนโลยีหลัก คือระบบรับแจ้งฉุกเฉินดิจิทัลหรือ Call Information System (CIS) และระบบอำนวยการทางการแพทย์ดิจิทัลหรือ Medical Information System (MIS) โดยระบบ CIS เป็นเทคโนโลยีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งเหตุผ่านหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน 1669 โดยทีมวิจัยได้พัฒนาให้เป็นระบบรับแจ้งเหตุแบบครอบคลุมรูปแบบการสื่อสารที่จำเป็น เมื่อมีการแจ้งเหตุทางโทรศัพท์ผ่านเบอร์ 1669 ผู้แจ้งจะได้รับ SMS สำหรับยืนยันตัวตนและระบุพิกัดสถานที่เกิดเหตุ เพื่อให้หน่วยปฏิบัติการฉุกเฉินเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุได้รวดเร็วและแม่นยำ หากผู้แจ้งใช้งานสมาร์ตโฟนจะใช้ระบบนี้วิดีโอคอลกับผู้รับแจ้งเหตุ เพื่อให้ผู้รับแจ้งเหตุประเมินสถานการณ์ พร้อมให้คำแนะนำในการปฐมพยาบาลแบบเรียลไทม์ได้ด้วย ส่วนระบบ MIS เป็นระบบอำนวยการทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลของผู้ป่วยขณะเดินทางด้วยรถพยาบาลไปยังศูนย์อำนวยการแพทย์แบบเรียลไทม์ ทั้งนี้ระบบจะจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในการส่งต่อผู้ป่วยและการจัดทำเอกสารประกอบการเบิกจ่าย” ดร.ศราวุธ อธิบาย
ด้านนายพัฒนา พร้อมพัฒน์ และคณะกรรมการ สวรส. มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า จากผลการวิจัยทำให้ได้ต้นแบบรถพยาบาลฉุกเฉินที่ใช้วัสดุโครงสร้างที่แข็งแรง มีน้ำหนักเบา ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากล พร้อมระบบ Telemed ที่สามารถเชื่อมโยงกับระบบที่เกี่ยวข้อง และเครื่องมือแพทย์พื้นฐาน โดยผ่านการทดสอบการใช้งานจริง ดังนั้นหลังจากนี้ควรนำไปขยายผลการใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรม ทั้งการจัดทำแนวทางมาตรฐานสำหรับรถพยาบาลฉุกเฉินที่ใช้งานในประเทศไทยให้มีรายละเอียดครอบคลุมทั้งความแข็งแรงของโครงสร้างรถ ระบบจัดการอากาศภายในห้องโดยสาร และระบบดิจิทัลสำหรับรับแจ้งเหตุและอำนวยการทางการแพทย์ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์ทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น