ข่าว/ความเคลื่อนไหว
เด็กไทยจำนวนไม่น้อยกำลังเผชิญกับปัญหาสุขภาวะทางช่องปาก โดยผลการสำรวจสภาวะสุขภาพช่องปากแห่งชาติ ครั้งที่ 9 เมื่อปี 2566 พบว่า เด็กอายุ 3 ปี ร้อยละ 47.0 และเด็กอายุ 5 ปี ร้อยละ 72.1 กำลังมีประสบการณ์โรคฟันผุ และในจำนวนนี้ มีมากถึงร้อยละ 46.1 และ 70.4 ตามลำดับ ที่ยังไม่ได้รับการรักษา[1] ทั้งนี้ตัวเลขดังกล่าว หากเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่ประเทศไทยกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) โดยการดูแลสุขภาวะทางช่องปาก ถือเป็นหนึ่งในรายการที่เปิดให้บริการผ่านคลินิกสุขภาพเด็กดี (Well Baby Clinic) ที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลและหน่วยบริการปฐมภูมิ ซึ่งคลินิกแห่งนี้ให้การดูแลเด็กแรกเกิดจนถึงวัยเรียนในด้านอื่นๆ อย่างเป็นองค์รวม อาทิ การฉีดวัคซีน การดูแลพัฒนาการ การตรวจสุขภาพเบื้องต้น ฯลฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลสุขภาวะทางช่องปากให้กับเด็ก ทีมวิจัยจึงมีแนวคิดการพัฒนาต้นแบบการนำบริการการดูแลสุขภาพในช่องปากไปไว้ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก (ศพด.) แทน ด้วยเชื่อมั่นว่า จะทำให้เกิดระบบการดูแลสุขภาพในช่องปากแบบองค์รวมผ่านกระบวนการมีส่วนร่วม ทั้งจากครูผู้สอน ผู้ปกครอง ที่จะประสานการทำงานกับเจ้าหน้าที่ทันตบุคลากรในพื้นที่ ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การดูแลสุขภาพในช่องปากของเด็กที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าการรวมการจัดบริการไว้กับบริการอื่นๆ ใน Well Baby Clinic
งานวิจัย “โครงการพัฒนาต้นแบบการจัดบริการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปากที่มุ่งเน้นคุณค่าเพื่อลดโรคฟันผุในเด็ก 0-5 ปี และข้อเสนอนโยบาย” ซึ่งมี ทพญ.สุณี วงศ์คงคาเทพ นักวิชาการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาสุขภาวะและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน เป็นผู้วิจัยหลักของโครงการ มีสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหน่วยงานสนับสนุนทุนวิจัย เมื่อวันที่ 11-12 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมมารวยการ์เด้น
ทพญ.สุณี เล่าว่า โจทย์ของโครงการวิจัยฯ ตั้งต้นมาจากข้อจำกัดที่การดูแลสุขภาพในช่องปากเด็กจะต้องบูรณาการร่วมกับบริการอื่นๆ ใน Well Baby Clinic ที่มักให้ความสำคัญกับบริการการรับวัคซีนเป็นหลัก ซึ่งจากข้อมูลการรับบริการจริงพบว่า หลังจากเด็กได้รับวัคซีนใน Well Baby Clinic มักเกิดอาการกลัวและร้องไห้จนไม่เอื้อให้เกิดบรรยากาศ และกระบวนการให้ความรู้ และการตรวจสุขภาพในช่องปาก รวมถึงการทาฟลูออไรด์ การฝึกแปรงฟัน ฯลฯ ถึงแม้จะมีความพยายามในการปรับระบบการบริการทันตกรรมใน Well Baby Clinic มาอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม แต่ยังไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่มุ่งหวังได้ ขณะที่สถานการณ์เด็กเกิดน้อย ช่วยให้อัตราส่วนของครูพี่เลี้ยงต่อเด็กใน ศพด. ดีขึ้น จึงน่าจะมีศักยภาพในการผลักดันหรือขับเคลื่อนการพัฒนาการดูแลสุขภาพช่องปากเด็กในเชิงคุณภาพได้มากยิ่งขึ้น
“การพัฒนาต้นแบบจากงานวิจัยที่ดำเนินการในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คือการเข้าไปพัฒนาศักยภาพครูพี่เลี้ยง ที่จะถ่ายทอดไปสู่ผู้ปกครอง และจัดกิจกรรมนิเวศการเรียนรู้เพื่อสร้างสุขนิสัยของเด็กในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และเชื่อมโยงกับการจัดระบบสิ่งแวดล้อมเพื่อทำให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านการแปรงฟันที่ดี โดยครูมีส่วนร่วมในการตรวจสุขภาพช่องปาก หรือทาฟลูออไรด์ให้กับเด็ก ซึ่งจะทำให้การดูแลสุขภาพช่องปากเด็กดีกว่าการดูแลใน Well Baby Clinic ดังนั้นจึงมีความพยายามที่จะพัฒนาทั้ง Well Baby Clinic และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เพื่อปรับระบบการดูแล โดยทำให้ผู้ปกครอง และครูพี่เลี้ยงเข้ามามีส่วนร่วม” ทพญ.สุณี อธิบาย
สำหรับโครงการวิจัยฯ ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน 2 ปี นับตั้งแต่ปี 2567-2568 โดยกำหนดพื้นที่ศึกษาใน 2 จังหวัด ได้แก่จังหวัดน่านและกระบี่ จังหวัดละ 2 อำเภอ และแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มทดลองที่มีการนำองค์ความรู้รูปแบบใหม่เข้ามาดำเนินการ และกลุ่มควบคุมที่ใช้การดำเนินการเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งนี้ ผลการดำเนินโครงการวิจัยฯ พบว่า เด็กในกลุ่มทดลองมีทิศทางของสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้นในหลายมิติ ส่วนปัญหาเศษอาหารติดฟัน ปัญหากลิ่นปาก ค่าเฉลี่ยจำนวนฟันขาวขุ่น ค่าเฉลี่ยจำนวนฟันผุ-อุด-ถอน มีจำนวนน้อยกว่าเด็กในกลุ่มควบคุม อีกทั้งยังพบว่า เด็กในกลุ่มทดลองที่มีพี่หรือน้องในครอบครัว มีอัตราฟันผุลดน้อยลงตามไปด้วย จึงสามารถสรุปได้ว่าเด็กในกลุ่มทดลองมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าเด็กในกลุ่มควบคุมอย่างชัดเจนในเกือบทุกกิจกรรม โดยเฉพาะการตรวจฟัน การทาฟลูออไรด์ การสอนแปรงฟัน การแจ้งผลผู้ปกครอง เป็นต้น
“จากการดำเนินงานวิจัย จึงมีข้อเสนอเชิงนโยบายว่า ประเทศไทยควรลงทุนใน risk-based oral health care สำหรับเด็ก เพราะหลักฐานชี้ชัดว่าได้ผลและคุ้มค่ากว่า อีกทั้งระบบการจ่ายเงินควรปรับจากการจ่ายตาม input เป็นจ่ายตาม outcome ไม่ใช่จ่ายตามกิจกรรม รวมถึงจ่ายตามความเสี่ยงบวกกับผลลัพธ์ของสุขภาพเด็ก และปรับระบบการจ่ายเงินเป็น Value-Based Payment ตลอดจนควรบรรจุ Ecosystem Package สำหรับ ศพด. เป็นชุดสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพราะเป็นจุดที่มีเวลาให้กับเด็กมากที่สุด รวมทั้งครูและผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมได้มาก จึงเหมาะกับการลงทุนในภาพใหญ่ของประเทศ” ทพญ.สุณี กล่าว
ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า การดำเนินงานเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบในเชิงโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม จำเป็นต้องเข้าใจวัฒนธรรมการทำงานของระบบ และสิ่งที่จะทำให้รัฐบาลเล็งเห็นถึงความสำคัญและเข้ามาผลักดันแนวคิดหรือต้นแบบใดๆ ก็ตาม จำเป็นต้องมีตัวเลขและตัวชี้วัดที่ชัดเจนว่า ถ้าลงทุน ต้องลงทุนในเชิงงบประมาณเท่าใด และจะได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาเชิงคุณภาพอย่างไร และต่อมาการที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนได้จริงคือต้องมีตัวกลางในการเข้ามาขับเคลื่อนกลไกหรือเป็นผู้ให้บริการ ซึ่งอาจต้องมีคนลงทุนจนทำให้เห็นผลลัพธ์ในเชิงรูปธรรมก่อน เนื่องจากส่วนใหญ่รัฐบาลมักจะไม่เริ่มลงทุนก่อนหากผลลัพธ์ยังไม่เกิด และสุดท้ายคือควรต้องมีนักประเมินอิสระ โดยมาประเมินการดำเนินงานในภาพรวม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
นพ.สันติ ลาภเบญจกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าวุ้ง จ.ลพบุรี กล่าวว่า จากผลการวิจัยสะท้อนให้เห็นว่า รูปแบบการทำงานแบบเดิมๆ ที่เคยทำมาตลอดระยะเวลาเป็นสิบๆ ปี อาจไม่ได้ทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นสิ่งสำคัญคือจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน การจัดบริการในรูปแบบใหม่ๆ ที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของเด็ก และมีการประเมินผลการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ และมากไปกว่านั้น คุณค่าของงานวิจัยชิ้นนี้สะท้อนให้เห็นว่า การมุ่งมั่นที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงระบบบางอย่างใน ศพด. ที่มีเด็กเล็กอยู่เป็นจำนวนมาก จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนไปถึงครอบครัวได้อีกด้วย จึงเห็นถึงความเป็นไปได้ที่จะขยายต้นแบบเหล่านี้ไปยังพื้นที่อื่นๆ ในวงกว้างที่อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพในช่องปากเด็ก แต่อาจจะหมายถึงการขับเคลื่อนการพัฒนาในมิติอื่นๆ
นอกจากนี้ ภายในการประชุมฯ ยังได้มีการแลกเปลี่ยนเรื่องการจัดกิจกรรมการพัฒนาระบบฐานข้อมูลที่ติดตามประเมินผลลัพธ์การให้บริการและจัดบริการตามระดับความเสี่ยง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาการดูแลสุขภาพช่องปากในเด็ก โดยการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ สามารถใช้งานได้ง่ายไม่เป็นภาระในการทำงานของบุคลากร ซึ่งทำให้สามารถวิเคราะห์และออกแบบการทำงานที่ตอบโจทย์ปัญหาได้มากขึ้น
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้