ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ท่ามกลางความท้าทายในหลากหลายมิติที่ส่งผลต่อระบบสุขภาพ และข้อมูลเชิงประจักษ์จากภาคีด้านสุขภาพที่มาร่วมนำเสนอ รวมทั้งชี้ให้เห็นถึงช่องว่างของการพัฒนา พร้อมการแลกเปลี่ยนมุมมองที่เป็นประโยชน์ภายในการประชุมวิชาการระดับชาติด้านหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า พ.ศ. 2568 โดยก่อนปิดการประชุมฯ ในปีนี้ กับวงเสวนาผู้นำองค์กรภาคีด้านสุขภาพที่มาตอกย้ำถึงความพร้อมในการที่จะร่วมกันพัฒนาระบบการเงินการคลังสุขภาพให้รองรับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งแนวทางการขับเคลื่อนในอนาคต โดยมีผู้ร่วมเสวนา นพ.เกษม ตั้งเกษมสำราญ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.นิธิวัชร์ แสงเรือง รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) นพ.เพชร อลิสานันท์ คณะกรรมการอำนวยการโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย (UHosNet) น.ส.วรรณา แก้วชาติ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ผู้แทนองค์กรเอกชนงานด้านชุมชนแออัด) ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2568 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ (รางน้ำ)
นพ.เกษม ตั้งเกษมสำราญ ผู้อำนวยการสำนักวิชาการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ความท้าทายในสถานการณ์ปัจจุบันของระบบการเงินการคลังในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขต้องบริหารจัดการภาพรวม ไม่ว่าจะเป็น การจัดการเรื่องเงินเดือนของบุคลากรเพื่อเป็นงบประมาณ UC โดยหน่วยบริการของกระทรวงสาธารณสุขถูกหักสูงถึง 65% ในขณะที่เมื่อเทียบกับโรงเรียนแพทย์ถูกหักเพียง 10% ทั้งๆ ที่บริบทปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เป็นแค่หน่วยให้บริการเท่านั้น แต่ยังเป็นหน่วยงานผลิตบุคลากรทางการแพทย์ในหลากหลายสาขา โดยมีศูนย์แพทยศาสตร์ถึง 47 แห่งทั่วประเทศ ส่วนด้านความเป็นธรรมระหว่างกองทุนสุขภาพ ยังมีเพียงกองทุนประกันสังคมสิทธิ์เดียวที่ต้องมีการร่วมจ่าย แม้จะกำหนดอัตราสมทบที่ 5% ของเงินเดือน แต่มีการกำหนดเพดานการจ่ายสูงสุดไว้ที่ 750 บาทต่อเดือน โดยใช้หลักการของการจัดระบบบริการสุขภาพที่ว่า ดีช่วยป่วย รวยช่วยจน อย่างไรก็ตาม หลักการดังกล่าวถูกบิดเบือนโดยโครงสร้างการจ่ายเงินสมทบ เนื่องจากผู้มีเงินเดือนสูงถึง 75,000 บาท จะถูกหักเงินสมทบในอัตราส่วนที่เหลือเพียง 1% ของเงินเดือนเท่านั้น หลักการนี้จึงทำให้ผู้ประกันตนที่มีรายได้ต่ำจ่ายเงินสมทบในสัดส่วนที่มากกว่าคนที่มีรายได้สูงเมื่อเทียบกับเงินเดือน อีกประเด็นที่สร้างแรงกดดันต่อระบบการเงินของกระทรวงสาธารณสุขคือ กลไกการจ่ายเงินที่แตกต่างกันในแต่ละกองทุน การจ่ายตามบริการ (Fee-for-Service) โดยเฉพาะในบริการที่มีกำไร ถ้าว่าตามหลักทางเศรษฐศาสตร์ กิจกรรมใดที่มีกำไร ย่อมมีแรงจูงใจและมีโอกาสให้ผู้ให้บริการจัดบริการเกินความจำเป็น และด้วยความแตกต่างของอัตราการจ่ายและสิทธิประโยชน์ ทำให้หลายโรงพยาบาลรัฐ ต้องเอาเงินจากกระเป๋าที่เบิกได้มาโปะช่วยกระเป๋าที่เป็นกองทุน UC ส่งผลให้รายจ่ายสุขภาพโดยรวมเพิ่มขึ้น และทำให้โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุขต้องใช้นโยบายควบคุมยา จนยาที่ใช้อาจด้อยกว่าโรงพยาบาลสังกัดอื่น ส่วนสถานการณ์เรื่องการถ่ายโอนภารกิจโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไปยังองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย โดยเฉพาะในประเด็นของการจัดสรรงบประมาณสมทบร่วมและการขาดแคลนบุคลากรวิชาชีพในพื้นที่ธุรกันดาร
“ภายใต้หลักการ SAFE ที่เป็นหลักการสำคัญในการเดินหน้าเพื่อให้การเงินการคลังด้านสุขภาพของประเทศยังคงยั่งยืน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขและกองทุนสุขภาพ จำเป็นต้องเร่งพิจารณาการแก้ไขกฎหมาย และปรับรายละเอียดกลไกการหักเงินเดือนเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนไป ตลอดจนการทบทวนความเหลื่อมล้ำในกองทุนประกันสังคม และการปรับกลไกการจ่ายเงินเพื่อลดแรงจูงใจในการจัดบริการเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาให้ระบบสุขภาพมีความเป็นธรรม และสามารถมีทรัพยากรเพียงพออย่างยั่งยืน” นพ.เกษม กล่าว
นพ.นิธิวัชร์ แสงเรือง รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า มีความท้าทายจำนวนมากที่เข้ามาเขย่าระบบสุขภาพ เช่น โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงไป การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ คนวัยแรงงานลดลง การคุกคามของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) การเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศและภัยธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นโจทย์สำคัญของเรื่องความยั่งยืนในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และด้วยสุขภาพคือการลงทุน ปัจจัยต่างๆ นับเป็นความท้าทายที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน ทุกวันนี้ทรัพยากรที่มีอยู่ถือว่าเพียงพอ แต่อาจต้องเน้นเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมากขึ้น ทั้งนี้ในฐานะที่ สปสช. เป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการ มองว่าสิ่งสำคัญที่ยังเป็นช่องว่างและต้องเร่งจัดการให้ดีขึ้น คือเรื่องการสื่อสาร ซึ่งควรต้องปรับให้มีการสื่อสารมากขึ้น เช่น เพิ่มช่องทางการสื่อสารที่ทำให้สาธารณะได้รับรู้เรื่องการคิดงบประมาณของ สปสช. พัฒนาการสื่อสารแบบสองทาง (two-way communication) ให้มากขึ้น และมีการสื่อสารจากหลากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน โดยมีความโปร่งใสเป็นพื้นฐาน เช่น มีการเหมาจ่ายอย่างไร เท่าไหร่ ยอดงบประมาณที่ตรงกันทุกฝ่าย รวมถึงอาจมีการตั้งกรรมการเพื่อร่วมกันพิจารณาก่อนการเบิกจ่าย เป็นต้น
“นอกจากนี้ หน่วยที่สนับสนุนด้านการเงินการคลัง อาจไม่ใช่แค่ สปสช. หน่วยงานเดียว อาจมีสำนักงานประกันสังคม และกรมบัญชีกลางร่วมด้วย รวมทั้งเราต้องทำให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตมากกว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ ควบคู่กับการพัฒนาระบบสุขภาพที่มุ่งเน้นเรื่องการส่งเสริมและป้องกันโรคให้มากขึ้น โดยเฉพาะโรค NCDs และ การเตรียมตัวก่อนสูงอายุ ” นพ.นิธิวัชร์ กล่าว
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า การเดินหน้าต่อเพื่อให้ระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพของประเทศมีความยั่งยืน ภายใต้หลักการ SAFE นั้น ข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ เช่นการจัดการกับปัญหาผู้สูงอายุ มากไปกว่าข้อมูลจำนวนผู้สูงอายุภาพรวมที่เพิ่มขึ้น ควรลงรายละเอียดข้อมูลที่สามารถแยกเป็นรายจังหวัด และสาเหตุของปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้น เช่น การพลัดตกหกล้มที่เกิดขึ้นในผู้สูงอายุ เกิดจากสาเหตุอะไร หรือข้อมูลผู้ป่วยที่มีภาวะพึ่งพิงที่สามารถแยกได้เป็นรายตำบล รวมทั้งข้อมูลหลังจากได้รับการดูแลเชิงระบบแล้ว มีผลที่ดีขึ้นเท่าไหร่ อย่างไร การดูแลผู้ป่วยระยะท้าย แต่ละจังหวัดใช้เงินกับการดูแลฯ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์ควบคู่กับค่าใช้จ่ายในการนอนโรงพยาบาลที่สามารถทำให้ลดลงได้หรือไม่ ที่ผ่านมา สสส. สปสช. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้มีการทำงานร่วมกัน ในแบบ Brand x Brand โดยร่วมกันทำเรื่องศูนย์พัฒนาเด็ก ธนาคารหมวกนิรภัย รณรงค์ให้เด็กสวมหมวกนิรภัย โดย สปสช. ใช้งบจากกองทุนสุขภาพตำบลไปขยายผล และมีการวัดผลที่ชัดเจน เช่น จำนวนเด็กที่สวมหมวกนิรภัย จำนวนผู้ป่วยที่ต้องผ่าตัดสมองที่เกิดจากการไม่สวมหมวกนิรภัย ห้องเรียนปลอดฝุ่น ฯลฯ โดยมีแผนที่จะพัฒนาต้นแบบในพื้นที่นำร่องแล้วนำไปขยายผลกับ สปสช. และ สกสว. นอกจากนี้ยังมีการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการ ในรูปแบบของภาคีอาสา สร้างจังหวัดเข้มแข็งโดยใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยมีภาคประชาชน ภาคประชาสังคมมาทำงานร่วมกัน ดังนั้นพลังของข้อมูลจึงมีความจำเป็นต่อการขับเคลื่อนสังคมอย่างมาก ทั้งการนำไปวางแผน เฝ้าระวัง ติดตามผลที่จะทำให้เกิดการแก้ปัญหาที่ตรงจุด ตรงพื้นที่มากยิ่งขึ้น
นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ธรรมนูญระบบสุขภาพ จำเป็นต้องอาศัยการขับเคลื่อนร่วมกันจากทุกภาคส่วน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ต่อสุขภาพโดยรวมของประชาชน โดยธรรมนูญว่าด้วยระบบสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2565 ประกอบด้วย 12 หมวด ปัจจุบันมีการขับเคลื่อนแล้ว 6 หมวด ซึ่งจากการขับเคลื่อนธรรมนูญดังกล่าว ทำให้เห็นว่า ระบบสุขภาพที่ดีควรเป็นการสร้างนำซ่อม แต่ความจริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายในการขับเคลื่อนนโยบายด้านสุขภาพ รวมถึงธรรมนูญระบบสุขภาพ ว่าควรมีทิศทางการขับเคลื่อนต่อไปอย่างไร เพื่อให้สุขภาพใน 4 มิติ (กาย ใจ สังคม และปัญญา) พัฒนาได้ดี รวมถึงการตระหนักว่าสุขภาพเป็นเรื่องของทุกคน ไม่ควรฝากไว้กับโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ ได้บัญญัติเรื่องสิทธิด้านสุขภาพในหลายมาตรา โดยประเด็นเกี่ยวกับ Living Will ได้กำหนดไว้ตั้งแต่มาตรา 3 และมาตรา 12 ซึ่งระบุถึงสิทธิของบุคคลในการแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับการรักษาพยาบาลในระยะสุดท้ายของชีวิต อันเป็นสิทธิโดยชอบตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้มาแล้วกว่า 18 ปี แต่ประชาชนจำนวนมากยังไม่รับทราบสิทธินี้อย่างทั่วถึง
“ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการแพทย์ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงขึ้น โดยพบว่าค่าใช้จ่ายด้านการรักษาในช่วง 6 เดือนสุดท้ายของชีวิต มีสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในตลอดช่วงชีวิต สช. จึงได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลด้านสุขภาพ เพื่อให้ระบบสุขภาพและสถานพยาบาลสามารถเข้าถึงข้อมูลการแสดงเจตนาของประชาชนได้อย่างถูกต้อง โปร่งใส และดูแลสุขภาพระยะท้ายได้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนอย่างแท้จริง ส่วนประเด็นการร่วมจ่ายถือเป็นประเด็นสำคัญ หากมีการดำเนินนโยบายร่วมจ่าย ประชาชนต้องได้รับประโยชน์สูงสุด โดยระบบสุขภาพของประเทศต้องมีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ระบบส่งต่อ และระบบการแพทย์ฉุกเฉิน ซึ่งต้องสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเหมาะสมและไม่ติดขัด” นพ.สุเทพ กล่าว
พญ.ปิยวรรณ ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) กล่าวว่า บทบาทของคุณภาพและความปลอดภัยต่อระบบการเงินการคลังด้านสุขภาพคือ คุณภาพที่สามารถลดความผิดพลาด ภาวะแทรกซ้อน และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ทำให้เกิดความสูญเปล่าและต้นทุนแฝงจากการรักษาซ้ำ ทั้งนี้การแก้ไขความผิดพลาด และการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น ช่วยลดอันตรายที่ป้องกันได้และการกลับมารักษาซ้ำ เพื่อให้ลดภาระค่าใช้จ่ายของระบบ ทั้งนี้การพัฒนาคุณภาพเป็นการลงทุนที่ก่อให้เกิดระบบบริการที่มีคุณค่า ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และตอบสนองประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม การรับรองคุณภาพ (Accreditation) เป็นเครื่องมือเชิงระบบที่สำคัญ และช่วยฝังมาตรฐานด้านคุณภาพและความปลอดภัยไว้ในระบบบริการสุขภาพอย่างเป็นระบบและยั่งยืน ทั้งนี้ Low value care เป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นแต่ไม่ใช่แค่ปัญหาทางการเงิน แต่เป็นปัญหาคุณภาพบริการและความปลอดภัยผู้ป่วย ต้องแก้ด้วยการพัฒนาระบบคุณภาพควบคู่กับกลไกการเงิน ซึ่งแนวทางสำคัญในการลด Low value care คือ การใช้มาตรฐาน HA (Hospital Accreditation) ร่วมกับการกำกับดูแลทางคลินิก เพื่อลดความแปรปรวนของการรักษา และพัฒนา Dashboard เพื่อติดตามผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่สำคัญ โดยจัดทำรายการ Low value care list ให้รางวัลหรือแรงจูงใจแก่การให้บริการแบบมีคุณค่า เชื่อมระบบการจ่ายเงินกับผลลัพธ์ด้านคุณภาพ ลดการจ่ายแบบ fee-for-service ที่กระตุ้นการใช้บริการเกินจำเป็น และนำ AI ช่วยลดการให้บริการเกินความจำเป็น นอกจากนี้โรงพยาบาลควรใช้ระบบคุณภาพเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนการให้บริการแบบมีคุณค่า เพื่อลดการสูญเปล่าที่ไม่จำเป็น และลดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพโดยเฉพาะหน่วยงานที่มีต้นทุนสูง และการสร้างวัฒนธรรมตระหนักรู้ต้นทุน
“หลัก UHC ต้องยึดความเป็นธรรม โดยการร่วมจ่ายตามกำลังจ่ายที่สามารถทำได้ ซึ่งแนวคิดและเงื่อนไขสำคัญ คือการออกแบบระบบการจ่ายร่วมแบบก้าวหน้า (Progressive Co-Payment) ให้คนรายได้สูงจ่ายมากกว่าผู้มีรายได้น้อย เริ่มจากบริการที่ไม่จำเป็น ต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงบริการที่จำเป็น และไม่กระทบต่อเศรษฐกิจครัวเรือน และควรมีระบบการประเมิน เพื่อกำกับติดตามผลกระทบด้านความเป็นธรรม” พญ.ปิยวรรณ กล่าว
นพ.เพชร อลิสานันท์ คณะกรรมการอำนวยการโรงพยาบาลกลุ่มสถาบันแพทย์แห่งประเทศไทย (UHosNet) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งหมายความว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะสูงขึ้น ขณะที่จำนวนคนทำงานลดลง ส่งผลให้ผลิตคนทำงานและฐานภาษีลดลงตามไปด้วย โดยปัจจุบันประชากร 67 ล้านคน มีเพียง 12 ล้านคนที่อยู่ในกองทุนประกันสังคม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ช่วยนำเงินเข้าสู่ระบบ ขณะที่อีก 2 กองทุน กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสวัสดิการรักษาพยาบาลของราชการ เป็นกลุ่มที่ใช้จ่ายทรัพยากรจากเงินภาษี ส่วนการจัดการ Low Value Care เพื่อลดค่าใช้จ่าย เพื่อรับมือกับปัญหาทางการเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ประเทศต้องรัดเข็มขัด โดยการนำบริการที่มีคุณค่าต่ำหรือไม่จำเป็นออกไปจากระบบ ซึ่งแนวทางที่ควรดำเนินการ เช่น การดูแลผู้ป่วยระยะท้ายต้องเข้มแข็ง ต้องมีการดูแล โดยใช้มาตรา 12 เป็นเครื่องมือสนับสนุน การใช้ยาสมเหตุสมผล การใช้ห้องปฏิบัติการอย่างสมเหตุสมผล โดยมีการนำระบบสารสนเทศมาช่วยในการทำงาน เนื่องจากระบบอิเล็กทรอนิกส์จะเข้ามาควบคุมการสั่งการตรวจที่ซ้ำซ้อน เช่น หากมีการสั่งเจาะเลือดหรือทำ X-ray/CT/MRI ซ้ำในเวลาใกล้เคียงกัน จะมีระบบแจ้งเตือน ฯลฯ ส่วนเรื่องความสมดุลระหว่างคุณภาพการบริการและค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ จะเห็นได้ว่าการสร้างความสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิต (Quality of Life) คุณภาพการดูแล (Quality of Care) และค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ (Medical Expense) เป็นเรื่องที่สวนทางกันอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนานวัตกรรมภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง หากนวัตกรรมใช้งานได้จริง ควรต้องดำเนินการในเชิงพาณิชย์และสามารถส่งออกได้
“การปรับปรุงระบบการตรวจสอบ (Claims Audits) เป็นสิ่งจำเป็น หากต้องการลด Low Value Care ซึ่งการตรวจสอบที่ดีและมีประสิทธิภาพควรต้องมีความรวดเร็ว เพื่อให้โรงพยาบาลได้รับการจ่ายเงินที่รวดเร็ว เพื่อไม่ให้แต่ละโรงพยาบาล โดยเฉพาะโรงพยาบาลขนาดเล็กประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจากการจ่ายเงินล่าช้า ควรมีการตรวจสอบที่มีความสม่ำเสมอและชัดเจน และทีมผู้ตรวจสอบต้องมีความเข้าใจและใช้เกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน และหากตรวจสอบแล้วพบความผิดมาก ควรมีการเพิ่มค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบ เพื่อกระตุ้นให้มีการดำเนินการที่ถูกต้องมากขึ้น” นพ.เพชร กล่าว
น.ส.วรรณา แก้วชาติ กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ผู้แทนองค์กรเอกชนงานด้านชุมชนแออัด) กล่าวว่า การยกระดับคุณภาพชีวิตและการเข้าถึงระบบประกันสุขภาพสำหรับกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะคนจนเมืองและคนไร้บ้าน ไม่ได้ต้องการระบบที่เป็นพิเศษ แต่ต้องการความเท่าเทียมในการเข้าถึงระบบบริการสุขภาพพื้นฐานที่มีอยู่ ซึ่งคนจนเมืองหรือกลุ่มเปราะบางส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีจุดอ่อนเรื่องระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ ส่วนในมุมของผู้ให้บริการก็ควรได้รับความเท่าเทียมเช่นกัน ในแง่ของการจ่ายเงินภายใต้ระบบที่รวดเร็วและถูกต้อง นอกจากนี้ควรมีการสร้างกลไกกลางในการกำกับดูแลในพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่เหมือนกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล ปัญหา การบริหารจัดการ และประสานงานระหว่างหน่วยบริการต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาระบบมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น ควรทบทวนหลักการสมทบเงินในกองทุนประกันสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพดานเงินเดือนในการสมทบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการร่วมจ่ายของลูกจ้างทุกคน และสอดคล้องกับหลักการรวยช่วยจนอย่างแท้จริง และควรมีการทบทวนการให้บริการด้านสุขภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อประเมินว่าการดำเนินการในปัจจุบันมีความคุ้มทุนและใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าหรือไม่ ขณะเดียวกันควรให้ความสำคัญกับการสร้างความเท่าเทียมระหว่างระบบหลักประกันสุขภาพทั้ง 3 กองทุน โดยยึดหลักว่า ควรนำทรัพยากรจากเงินภาษีของประเทศมาใช้เพื่อดูแลสุขภาพของประชาชนทุกคนอย่างเป็นธรรม มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อระบบสุขภาพโดยรวม
“คนไร้สิทธิ์ คนไร้บัตร การเกิดครั้งแรกคือมีลมหายใจ การเกิดครั้งที่สอง คือการมีบัตรประชาชน มีสถานะ ตัวตน ที่จะสามารถได้รับสิทธิต่างๆ อย่างเท่าเทียม ดังนั้นการแก้ปัญหาการไม่มีบัตรประชาชนหรือสิทธิสถานะ ควรมีการประสานงานเพื่อให้เกิดกระบวนการพิสูจน์สถานะและขึ้นทะเบียนราษฎรตั้งแต่แรกเกิด เพื่อไม่ให้เด็กต้องไปใส่ชื่อในทะเบียนบ้านกลาง และมีปัญหาเรื่องสิทธิการรักษาพยาบาลตามมา” น.ส.วรรณา กล่าว
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้