สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)

“หมอศุภกิจ” ร่วมเวทีสานพลังสุขภาวะ ชูบทบาท “สวรส.” ใช้วิจัยนำทาง ขับเคลื่อนระบบสุขภาพไทย

ผอ.สวรส. ขึ้นเวที คสน. รุ่น 3 ถ่ายทอดมุมมองระบบสุขภาพ ย้ำความสำคัญงานวิจัยเชิงระบบ หนุนนโยบายประเทศ พร้อมดัน “จีโนมิกส์” สู่การรักษาแม่นยำ เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย

เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2568 ณ ห้องประชุมแซฟไฟร์ 108 อาคารอิมแพ็ค ฟอรั่ม เมืองทองธานี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ได้ให้เกียรติเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษหัวข้อ “ระบบสุขภาพไทย ในบทบาทของหน่วยงานสุขภาพ” ในโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายนักสานพลังสร้างสุขภาวะ (คสน.) รุ่นที่ 3 ซึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้และสร้างเครือข่ายการขับเคลื่อนสังคมสุขภาวะ

นพ.ศุภกิจ ชี้ "งานวิจัย" คือเข็มทิศสำคัญพัฒนาระบบสุขภาพ โดยได้ฉายภาพรวมความเป็นมาของระบบสุขภาพไทย ระบุว่า สวรส. ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 2535 เพื่อทำหน้าที่เป็นองค์กรวิชาการเชิงระบบ (System View) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่นำไปสู่การจัดตั้งหน่วยงานตระกูล ส. อื่นๆ ตามมา เช่น สปสช., สสส., สช. และ สรพ. โดยเน้นย้ำว่า งานวิจัยระบบสุขภาพมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย ทั้งในภาวะปกติและภาวะเร่งด่วน เช่น การบริหารจัดการในช่วงสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงการสนับสนุนงานวิจัยแบบ R-to-R (Routine to Research) เพื่อพัฒนางานประจำให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

เน้นหลักการ "ประเมินเพื่อพัฒนา" นพ.ศุภกิจ ยังได้กล่าวถึงแนวทางการทำงานที่มุ่งเน้นการ "ประเมินเพื่อการพัฒนา" (Evaluation for Development) โดยระบุว่าการวิจัยนโยบายสาธารณะต่างๆ นั้น มีเป้าหมายเพื่อนำเสนอข้อมูลวิชาการรอบด้าน ให้ฝ่ายนโยบายนำไปปรับปรุงระบบบริการให้มีความสมบูรณ์ ครอบคลุม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน

ในช่วงท้าย ผอ.สวรส. ได้กล่าวถึงก้าวต่อไปของระบบสุขภาพไทย ภายใต้การสนับสนุนทุนวิจัยเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund) จากกระทรวง อว. โดยเฉพาะโครงการสำคัญอย่าง "Genomic Thailand" หรือการถอดรหัสพันธุกรรมคนไทย เพื่อนำไปสู่การรักษาโรคแบบจำเพาะบุคคล (Precision Medicine) ซึ่งปัจจุบันมีความคืบหน้าไปมาก โดยมีการตรวจยีนไปแล้วกว่า 50,000 ราย นอกจากนี้ยังมีการใช้ข้อมูลจากการสำรวจสุขภาพประชาชน (National Exam Survey) มาช่วยในการวางแผนคัดกรองโรคสำคัญ เช่น เบาหวานและความดันโลหิตสูง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการรักษาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างวิทยากรและเครือข่ายนักสานพลังจากหลากหลายภาคส่วน เพื่อร่วมกันมองทิศทางและสร้างความร่วมมือในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพของประเทศไทยให้ยั่งยืนต่อไป