หนึ่งในการบริหารจัดการการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ถ่ายโอนไปสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) คือการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ต่อสุขภาพที่ดีของประชาชน ซึ่งหลังจากมีการถ่ายโอนภารกิจของ รพ.สต. ไปสู่ อบจ. ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อให้เหมาะสมกับการบริหารจัดการผ่านคณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่ (กสพ.) ซึ่งที่ผ่านมาแต่ละพื้นที่มีความหลากหลายในรูปแบบของการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อขับเคลื่อนการจัดบริการสาธารณสุข โดยมีทั้งหมด 7 รูปแบบ 1) จัดสรรเป็นสัดส่วน รพ. : รพ.สต. 2) จัดสรรเป็นต่อประชากร 3) จัดเป็นระดับตามขนาด S M L 4) จัดสรรผ่าน รพ.เเม่ข่าย (CUP) 5) จัดสรรงบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) โดยจัดสรรงบบริการผู้ป่วยนอก (OP) ผ่าน CUP 6) จัดสรรเท่ากันทุกเเห่ง 7) โอนล่วงหน้า (ผ่าน CUP 75%) ทั้งนี้การประเมินต้นทุนและผลได้ของรูปแบบการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขให้กับ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไป อบจ. จะเป็นข้อมูลสำคัญในการสะท้อนถึงประสิทธิภาพของการจัดสรรงบประมาณเพื่อจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิได้อย่างชัดเจน และสามารถนำไปเป็นแนวทางในการบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากยิ่งขึ้น
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จึงร่วมกับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดเวทีรับฟังข้อเสนอแนะต่อโครงการประสิทธิภาพการจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายเพื่อจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิที่พึงประสงค์ภายใต้สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อนำเสนอผลการวิจัยและรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ นายปริญญา ระลึก สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) นางพุทธิมา ตระวารวนิช สำนักงบประมาณ นายวิทยา โชคเศรษฐกิจ สำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นางวรดาลักษณ์ เพชรถิรสังข์ กองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนจากหน่วยงานในพื้นที่ อาทิ นายกิตติชัย เอ่งฉ้วน องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ นายไพรัช มหาวงศนันท์ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย นายวิสิทธิ์ มารินทร์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดน่าน นายประเสริฐ สาวีรัมย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ ฯลฯ หลังจากได้มีการคืนข้อมูลงานวิจัยและรับฟังความคิดเห็นกับ 15 พื้นที่ที่มีการถ่ายโอนและไม่มีการถ่ายโอน รพ.สต. ไป อบจ. ซึ่งข้อมูลทั้งหมดจะนำมาประมวลผลและจัดทำเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานวิจัยต่อไป โดยมี ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการ สวรส. เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2568 ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต
ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมา สวรส. ได้มีการบริหารจัดการงานวิจัยเพื่อสนับสนุนให้การถ่ายโอน รพ.สต. ไป อบจ. ยังคงมีการให้บริการด้านสาธารณสุขที่เกิดประโยชน์กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดสรรงบประมาณเป็นมิติที่ต้องมีการศึกษาวิเคราะห์จากการดำเนินงานในพื้นที่เป็นสำคัญ เพื่อการจัดทำข้อเสนอทางเลือกรูปแบบการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่ สวรส. จึงได้สนับสนุนทุนวิจัยให้กับคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ดำเนินการศึกษาประสิทธิภาพการจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายเพื่อจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิที่พึงประสงค์ภายใต้สังกัด อบจ. ซึ่งงานวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพการจัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขบริการผู้ป่วยนอกทั่วไป (OP) และค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสาธารณสุขบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (P&P) ของ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไป อบจ. และประเมินต้นทุน-ผลได้ของรูปแบบการได้รับจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายเพื่อบริการสุขภาพของ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไป อบจ. ทั้ง 7 รูปแบบ ตลอดจนพัฒนาข้อเสนอรูปแบบการจัดสรรค่าใช้จ่ายให้กับ รพ.สต. ที่ถ่ายโอนไป อบจ. ให้มีความเหมาะสม และสามารถส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ในการสร้างเสริมสุขภาพที่เป็นภาพอันพึงประสงค์ของหน่วยบริการปฐมภูมิสังกัด อบจ. โดยการวิจัยครั้งนี้ศึกษาข้อมูลในพื้นที่ 13 จังหวัดที่มีการถ่ายโอนฯ ได้แก่ น่าน ร้อยเอ็ด เชียงราย สุพรรณบุรี พะเยา ปราจีนบุรี สุโขทัย เพชรบุรี ภูเก็ต กระบี่ มหาสารคาม กาฬสินธุ์ กาญจนบุรี และเปรียบเทียบข้อมูลกับ 2 จังหวัดที่ไม่มีการถ่ายโอนฯ ได้แก่ อุดรธานีและบุรีรัมย์
“โจทย์สำคัญที่ สวรส. พยายามขับเคลื่อนการพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิคือ การสะท้อนข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเชิงระบบที่ส่งผลให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี เช่น ถ้าเรามีสมมติฐานว่า เมื่อมีการถ่ายโอน รพ.สต.ฯ ไปแล้ว ในด้านที่เพิ่มขึ้น อาทิ งบประมาณ บุคลากร ฯลฯ ผลลัพธ์จากการให้บริการสุขภาพแก่ประชาชนควรดีขึ้น เช่น การคัดกรองโรคต่างๆ หรือการส่งเสริมป้องกันโรค การควบคุมโรคเบาหวานและความดันในกลุ่มผู้ป่วย NCDs ซึ่งข้อมูลจากการศึกษาวิจัยด้านประสิทธิภาพของการจัดสรรงบประมาณดังกล่าว จะช่วยสะท้อนให้เห็นว่ากลไกการจัดสรรค่าใช้จ่ายในรูปแบบต่างๆ ควรนำไปใช้กับบริบทแบบใด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เช่น การคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเพื่อไม่ให้พัฒนาไปสู่การเป็นโรคต่างๆ การควบคุมโรคในกลุ่มผู้ป่วยไม่ให้มีอาการรุนแรง เพื่อช่วยลดภาระงบประมาณด้านสุขภาพของประเทศในระยะยาว และเกิดการตัดสินใจเชิงนโยบายที่มีประสิทธิภาพ” ผศ.ดร.จรวยพร กล่าว
ด้านข้อค้นพบสำคัญจากงานวิจัย นำเสนอโดย ดร.นภชา สิงห์วีรธรรม คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และทีมวิจัย มี 4 ประเด็นที่น่าสนใจ
1. ต้นทุนของ รพ.สต. ที่มีการถ่ายโอนฯ สูงกว่า รพ.สต. ที่ไม่ได้มีการถ่ายโอนฯ
2. การคำนวณประสิทธิภาพของการจัดสรรค่าบริการในการจัดบริการปฐมภูมิภายใต้สังกัด อบจ. ถ้าเป็นการคำนวณแบบวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (Cost-Benefit Analysis: CBA) ควรใช้ต้นทุนต่อหน่วย (unit cost) ในการคิดคำนวณ แต่ถ้าเป็นการคำนวณแบบอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (Benefit Cost Ratio: BCR) ควรใช้ต้นทุนรวม (total cost) ในการคิดคำนวณ
3. การคำนวณประสิทธิภาพของการจัดสรรค่าบริการปฐมภูมิภายใต้สังกัด อบจ. เพื่อให้เกิดภาพที่พึงประสงค์ ต้องมีการมองภาพรวมของแต่ละบริบท เช่น อบจ.ที่มีการรับถ่ายโอน 100% ซึ่งบางจังหวัดมี รพ.สต. ทั้งขนาด S M L ควรนำบริบทต่างๆ เหล่านี้มาคำนวณต้นทุนด้วย เช่น จังหวัดเชียงราย อบจ. มีการรับถ่ายโอน รพ.สต. ทั้ง 100% ซึ่งมีการใช้สัดส่วนการจัดสรรค่าบริการฯ ตามจำนวนของประชากร ทำให้เกิดความคุ้มทุน (Pay Less, Get More) คือต้นทุนต่ำแต่ได้ผลลัพธ์สูง
4. การคำนวณประสิทธิภาพของการจัดสรรเงินค่าใช้จ่ายเพื่อจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ ต้องอาศัยข้อมูลเชิงประจักษ์ ดังนั้นทีมวิจัยจะจัดทำคู่มือแนวทางการจัดสรรงบประมาณการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ประโยชน์ อาทิ สปสช. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. คณะอนุกรรมการบริหารภารกิจถ่ายโอนด้านสาธารณสุขให้แก่ อปท. รพ.สต. สังกัด อบจ. ฯลฯ