ข่าว/ความเคลื่อนไหว
การประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ครั้งที่ 7/2568 มี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานฯ และ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กรรมการเเละเลขานุการ พร้อมด้วยกรรมการจากผู้เเทนกระทรวง เเละผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆ ร่วมประชุม เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2568 ณ ห้องประชุมสุปัญญา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ
ในการประชุมฯ มีการนำเสนอผลงานวิจัยเบื้องต้น โดย รศ.พญ.เริงฤดี ปธานวนิช คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี หัวหน้าโครงการวิจัย “โครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายครั้งที่ 7” ซึ่งเป็นการสำรวจฯ เดียวของประเทศไทยที่มีทั้งการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ การตรวจร่างกายพื้นฐาน การตรวจเลือดและปัสสาวะ โดยเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง เพื่อวิเคราะห์การบริโภคโซเดียม รวมถึงเก็บข้อมูลสถานะทางสุขภาพ และพฤติกรรมเสี่ยงทางสุขภาพต่างๆ ในกลุ่มประชากรอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป รวม 30,057 ราย ทั้งนี้เพื่อสำรวจสถานการณ์และแนวโน้มของสถานะทางสุขภาพ ความชุกของโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงและพฤติกรรมทางสุขภาพของประชาชนไทย และจากการสำรวจฯ เปรียบเทียบระหว่างครั้งที่ 6 กับครั้งที่ 7 เบื้องต้นส่วนหนึ่งพบว่า โรค NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเบาหวานจาก 9.5% เพิ่มเป็น 10.6% และ 27% ไม่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานมาก่อน โดยกลุ่มที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเบาหวาน สูงที่สุดอยู่ที่อายุ 15-34 ปี ส่วนความดันโลหิตสูง จาก 25.4% เพิ่มเป็น 29.5% โรคอ้วน จาก 42.2% เพิ่มเป็น 45.0% โดยผู้ชายเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นมากกว่าผู้หญิง ส่วนด้านสุขภาพจิต โดยสำรวจภาวะซึมเศร้า พบว่า จาก 1.7% เพิ่มเป็น 2.1% โดยกลุ่มที่มีภาวะซึมเศร้าสูงคือกลุ่มวัยรุ่นผู้หญิง และเสี่ยงที่จะมีการใช้สารเสพติด การสูบบุหรี่ไฟฟ้า และการดื่มสุราตามมาด้วย ด้านพฤติกรรมสุขภาพ เช่น ภาพรวมของการบริโภคยาสูบไม่ต่างจาก 5 ปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากอัตราการสูบบุรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น จาก 1% เป็น 2.8% โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น อายุ 15-29 ปี มีสัดส่วนของการใช้บุหรี่ไฟฟ้าสูงที่สุด จาก 3.6% เพิ่มเป็น 8.4% ด้านการดื่มสุราพบว่า มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อยจาก 32.5% เป็น 28.8% อัตราการใช้กัญชา 1.7% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นผู้ชาย อายุ 15-29 ปี โดยใช้เพื่อนันทนาการและอยากรู้อยากลอง ด้านกิจกรรมทางกายพบว่า คนไทยส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเนือยนิ่งมากขึ้น รวมถึงการบริโภคผักและผลไม้ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อน รวมทั้งด้านการบริโภคโซเดียม คนไทยยังบริโภคโซเดียมสูงกว่าที่องค์การอนามัยโลกแนะนำเกือบ 2 เท่า โดยคนไทยบริโภคอยู่ที่ 3,650 มิลลิกรัมต่อวัน ทั้งนี้ต่อวันไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัม นอกจากนี้ภาวะและปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพที่เป็นปัญหาสูงสุดของแต่ละภาค ภาคเหนือ ได้แก่ การดื่มสุราอย่างหนัก เมาแล้วขับ ความดันโลหิตสูง กินเค็ม ภาคอีสาน ได้แก่ เบาหวาน สวมหมวกนิรภัยน้อย ภาคกลาง ได้แก่ กิจกรรมทางกายต่ำ น้ำหนักเกิน/อ้วน ภาคใต้ ได้แก่ สูบบุหรี่ กทม. ได้แก่ การสูบบุหรี่ไฟฟ้าในวัยรุ่น ซึมเศร้า มลพิษทางอากาศ เป็นต้น
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยมีความสำคัญต่อการดำเนินงานด้านสาธารณสุขในการกำหนดนโยบาย มาตรการ หรือการรณรงค์ในประเด็นที่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคต่างๆ ที่ผ่านมาได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องทุกๆ 5 ปี เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 2534 โดยครั้งนี้เป็นการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 7 ซึ่ง สวรส. ได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดยมีการเก็บข้อมูลภาคสนามจากทุกภาคทั่วประเทศรวม 20 จังหวัด และกรุงเทพมหานคร และการนำเสนอผลการสำรวจสุขภาพฯ เบื้องต้นในวันนี้จะทำให้เห็นถึงสถานการณ์และแนวโน้มของสถานะทางสุขภาพของประชาชนไทย ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข สปสช. สสส. ฯลฯ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะการลดโรค NCDs ที่เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและประธานกรรมการ สวรส. กล่าวว่า จากข้อมูลสถิติผู้ป่วยนอกที่เข้ารับบริการภายใต้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปีที่ผ่านมา มีการเข้ารับบริการทั้งหมด 220 ล้านครั้ง โดยในจำนวนนี้เป็นโรค NCDs ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคถึง 167.5 ล้านครั้ง หรือคิดเป็นประมาณ 3 ใน 4 ของทั้งหมด โดยสาเหตุสำคัญคือการบริโภคคาร์โบไฮเดรตที่จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล และนำไปสู่การเกิดโรค NCDs ซึ่งปัจจุบันค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค NCDs ปี 2567 อยู่ที่ประมาณ 79,500 ล้านบาท กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายที่จะทำให้คนไทยห่างไกลโรค NCDs โดยขับเคลื่อนการดำเนินงานผ่านศูนย์คนไทยห่างไกล NCDs ในระดับตำบล และคลินิก NCDs ที่ตั้งอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไป และมีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดความรู้แก่ประชาชน ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม เช่น การนับคาร์บ ทั้งนี้มีคนที่ได้รับการสอนนับคาร์บแล้วกว่า 42 ล้านคน ซึ่งข้อมูล ณ วันที่ 24 ส.ค. 2568 มีจำนวนผู้ป่วยเข้าเกณฑ์ NCDs Remission 28,506 คน หยุดยาได้ 17,700 คน ลดยาได้ 29,886 คน ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 780 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งสามารถลดแออัดในโรงพยาบาลและกำลังคนในการดูแลรักษาผู้ป่วยได้ ทั้งนี้งานวิจัยโครงการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกายที่ สวรส. สนับสนุนทุนวิจัยนี้ สามารถสะท้อนสถานการณ์และแนวโน้มของสถานะทางสุขภาพของโรค NCDs ได้ โดย สวรส. อาจต่อยอดการวิจัยที่เชื่อมโยงกับนโยบายการลดคาร์บของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อการแก้ไขปัญหาที่เฉพาะเจาะจงในแต่ละสาเหตุได้มากยิ่งขึ้น เช่น คนอีสานมีปัญหาด้านโรคเบาหวานสูงสุดจากการกินคาร์บ ซึ่งคือน้ำตาล ที่มีสมมติฐานจากการบริโภคข้าวเหนียวมากกว่าคนภาคอื่นๆ เป็นต้น ทั้งนี้ผลการสำรวจฯ ดังกล่าว ให้มีการนำเสนอต่อสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายป้องกันหรือลดโรค NCDs ที่เป็นรูปธรรมต่อไป
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้