4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

แผนวิจัยระบบบริการสุขภาพ สวรส. คุมทิศ-ติดตามงานวิจัย หวังป้อนงานวิจัยคุณภาพสู่การพัฒนาระบบบริการสุขภาพของประเทศ

          การประชุมคณะกรรมการกำกับทิศทางแผนงานวิจัยระบบบริการสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ครั้งที่ 4/2568 มี นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ อาทิ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา นพ.กิตตินันท์ อนรรฆมณี นพ.ชาญวิทย์ วสันต์ธนารัตน์ นพ.สุรพจน์ สุวรรณพานิช นพ.ประจักษวิช เล็บนาค ดร.ทพ.วีระศักดิ์ พุทธาศรี นพ.ชวินทร์ ศิรินาค นพ.ประสิทธิ์ชัย มั่งจิตร ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2568 ณ ห้องประชุมสุปัญญา สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ

          นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สะท้อนให้เห็นความสำคัญของการกำกับทิศทางงานวิจัยว่า งานวิจัยบางเรื่องเมื่อมีการได้ช่วยกันให้มุมมองและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อการพัฒนาโจทย์และการดำเนินการวิจัย โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์เป็นสำคัญ ก็จะทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ระหว่างผู้ให้ทุน นักวิจัย และหน่วยงานที่ใช้ประโยชน์ไปในคราวเดียวกัน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากงานวิจัยการประเมินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในด้านการบริหารจัดการและนัยยะจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย ที่เราช่วยกันปรับและขยายให้การศึกษาวิจัยไปมากกว่าการประเมิน SROI จนทำให้งานวิจัยสามารถนำข้อมูลเชิงประจักษ์ที่เป็นประเด็นสำคัญส่งต่อให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทำให้เกิดการกระตุ้นในการพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติต่อไป

          ผศ.ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์ รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กล่าวว่า การขับเคลื่อนงานวิจัยภายใต้แผนงานวิจัยระบบบริการสุขภาพให้ความสำคัญกับการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อการปรับเปลี่ยนระบบบริการสุขภาพให้เกิดผลดีแก่ประชาชน และสามารถสนับสนุนให้ระบบสุขภาพมีความมั่นคงและยั่งยืนในเวลาเดียวกัน โดยการประชุมคณะกรรมการกำกับทิศทางของแผนงานวิจัยระบบบริการสุขภาพในวันนี้มีการนำเสนองานวิจัย 3 เรื่อง 1) การประเมินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในด้านการบริหารจัดการและนัยยะจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย 2) การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการวางแผนและการจัดการกำลังคนด้านแพทย์เฉพาะทางของประเทศไทย 3) ยุทธศาสตร์เพื่อการรองรับโรคความเสื่อมของระบบประสาท ระยะที่ 4: สู่ระบบการดูแลผู้ป่วยโดยอาศัยตัวชี้วัดชีวภาพ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการฯ ซึ่งเป็นความคิดเห็นสำคัญต่อการบริหารจัดการงานวิจัยให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุด

          ทั้งนี้งานวิจัยเรื่อง “การประเมินหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในด้านการบริหารจัดการและนัยยะจากการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย” ดร.ณัฐนันท์ วิจิตรอักษร หัวหน้าโครงการวิจัยฯ ได้สรุปสาระสำคัญว่า งานวิจัยเป็นการศึกษาการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทองของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และการขับเคลื่อนของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เพื่อประเมินใน 3 ด้าน 1) การประเมินระบบการบริหารจัดการองค์การ (Governance)  2) การประเมินการบริหารจัดการกองทุนบัตรทอง 3) การวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางสุขภาพ (Health outcome) ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า ด้านการบริหารจัดการองค์กรยังมีประเด็นข้อกังวลในเรื่ององค์ประกอบของ บอร์ด สปสช. และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข (บอร์ดควบคุม) ที่กรรมการบางส่วนดำรงตำแหน่งต่อเนื่องยาวนาน หรือสลับสับเปลี่ยนระหว่างบอร์ด ซึ่งแม้ไม่ผิดหลักเกณฑ์ แต่อาจไม่ถูกหลักการ เนื่องจากบุคคลคนเดียวมีบทบาททั้งระดับนโยบายและปฏิบัติ ส่งผลให้เกิดภาวะบทบาททับซ้อน ที่ทำให้แยกหน้าที่การกำกับและการปฏิบัติออกจากกันไม่ชัดเจน และขาดความโปร่งใสในการถ่วงดุลอำนาจและการตรวจสอบภายในองค์กร ด้านการบริหารจัดการกองทุนบัตรทอง พบว่า มีความโปร่งใสค่อนข้างสูง สปสช. มีระบบป้องกันการทุจริตที่เข้มงวด และกฎระเบียบการเบิกจ่ายที่ชัดเจน แต่อาจยังมีจุดเปราะบางในบางด้าน โดยเฉพาะเมื่อขยายสิทธิประโยชน์และบริการ อาจยังขาดหลักฐานเชิงประจักษ์ อาทิ ข้อมูลสถิติหรือผลวิจัยที่ผ่านการตรวจสอบเพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างเพียงพอ ทำให้เสี่ยงต่อการเพิ่มภาระงบประมาณโดยได้ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า และอาจส่งผลต่อความยั่งยืนของระบบในระยะยาว เช่น สิทธิประโยชน์การรักษาผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ที่ปัจจุบันเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ป่วยเลือกวิธีบำบัดทดแทนไตได้ตามความเหมาะสม ซึ่งแม้จะมีเจตนาดีในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ป่วย แต่การวิเคราะห์ผลตอบแทนทางสังคม (SROI) พบว่ากองทุนไตวายเรื้อรังของระบบบัตรทอง มีผลตอบแทนต่ำกว่าเงินลงทุน นอกจากนี้ การวิเคราะห์ผลลัพธ์ทางสุขภาพ จากการศึกษา มีการประเมินใน 3 กลุ่มโรค 1) กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ (กลุ่มโรคติดต่อ) 2) กลุ่มผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง (กลุ่มโรคไม่ติดต่อ) และ 3) กลุ่มผู้มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว โดยพบว่า กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ทำได้ค่อนข้างดี จากระบบบริหารจัดการ ขณะที่กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคไตวายเรื้อรัง ในแง่ของนโยบายยังไม่ตอบโจทย์เมื่อนำไปบริการในระบบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของผู้ป่วย ส่วนกลุ่มผู้มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว ทาง สปสช. บริหารจัดการได้ดีและครอบคลุม ซึ่งเป็นนโยบายที่ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วยได้ในระดับชุมชนด้วย 

          ด้านงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการวางแผนและการจัดการกำลังคนด้านแพทย์เฉพาะทางของประเทศไทย” ผศ.ดร.พุดตาน พันธุเณร หัวหน้าโครงการวิจัยฯ สรุปสาระสำคัญว่า กำลังคนด้านการแพทย์เฉพาะทางมีความสำคัญกับการจัดบริการสุขภาพในทุกๆระดับ ตั้งแต่ระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ และเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดบริการสุขภาพได้อย่างอย่างมีประสิทธิภาพ และส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน โดยงานวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อวิเคราะห์ความต้องการกำลังคนแพทย์เฉพาะทางของประเทศไทยในปัจจุบัน เพื่อคาดการณ์ความต้องการกำลังคนแพทย์เฉพาะทาง ในปี พ.ศ. 2570, 2575 และ 2580 เพื่อพยากรณ์จำนวนกำลังคนแพทย์เฉพาะทางรองรับในปี พ.ศ. 2570, 2575 และ 2580 รวมถึงจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการวางแผนกำลังคนแพทย์เฉพาะทางของประเทศไทย ทั้งนี้งานวิจัยได้ศึกษาข้อมูลทั้งกำลังคนด้านการแพทย์เฉพาะทางสาขาหลัก 16 สาขา และ 8 อนุสาขา ซึ่งได้รับข้อมูลจาก สปสช. และความเห็นจากราชวิทยาลัยต่างๆ เป็นอย่างดี และผลวิจัยมีประเด็นที่น่าสนใจ โดยพบว่า แพทย์ให้เวลากับการบริการผู้ป่วยนอกเฉลี่ย 6-8 นาทีต่อคน ส่วนผู้ป่วยใน ถ้าเป็นกรณีผู้ป่วยใน แยกเป็นการให้บริการผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยเฉพาะทางด้านต่างๆ กับผู้ป่วย ICU พบว่า แพทย์ให้เวลากับผู้ป่วย ICU มากสุด อยู่ที่ 30 นาทีต่อคน สำหรับข้อมูลที่ได้จากการทำแบบสอบถามถึงปัจจัยที่ทำให้แพทย์ลาออก 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ภาระงานมากเกินไป 2) ค่าตอบแทนไม่เหมาะสม 3) การบริหารจัดการไม่เหมาะสม ด้านความต้องการกำลังคนแพทย์เฉพาะทางภาพรวมทั้งประเทศ พบว่า ปี 2570 เกือบ 69,000 คน  ปี 2575 เกือบ 78,000 คน และปี 2580 เกือบ 95,000 คน ด้านการคาดการณ์จำนวนแพทย์เฉพาะทาง สาขาที่มีความต้องการมาก 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) อายุรศาสตร์ 2) เวชศาสตร์ครอบครัว 3) เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ส่วนอนุสาขาที่ต้องการน้อย 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ศัลยศาสตร์ตกแต่ง 2)กุมารศัลยศาสตร์ 3) อายุรศาสตร์โรคเลือด ส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อความต้องการแพทย์เฉพาะทางในอนาคต ด้านอุปทาน เช่น ความไม่สมดุลเชิงปริมาณและการกระจุกตัวของแพทย์ ซึ่งมักอยู่ในเมืองใหญ่ อาทิ กทม. เป็นต้น การลาออกและเปลี่ยนอาชีพ ฯลฯ ด้านความต้องการ เช่น ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อัตราการเกิดน้อยลง การเพิ่มขึ้นของโรค NCDs สภาพสังคมที่เปลี่ยนไป อาทิ สุขภาพจิต โรคอุบัติใหม่/โรคติดต่อ ฯลฯ โดยมีข้อเสนอเชิงนโยบายจากงานวิจัย อาทิ นโยบายป้องกันการลาออก โดยสนับสนุนให้แพทย์ได้ทำงานใกล้ภูมิลำเนา ค่าตอบแทนและภาระงานที่สมดุลกัน มีการบริหารจัดการในระดับพื้นที่และองค์กรที่เหมาะสม ทบทวนค่าตอบแทนแพทย์เฉพาะทางในสาขาที่มีภาระงานสูง ลงทุนด้านเทคโนโลยีอย่างเป็นระบบ นำ AI และ Telemedicine มาใช้เสริมศักยภาพของแพทย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ขาดแคลน กระทรวงสาธารณสุข ควรยังคงนโยบายผลิตกำลังคนทางการแพทย์ เช่น CPIRD, ODOD โดยกำหนดโควต้าการรับเข้าในบางสาขา ควรพิจารณาการใช้นวัตกรรมการผลิตแพทย์เฉพาะทาง เช่น การใช้ระยะเวลาการเรียนสั้น แต่ไม่ลดคุณภาพ การสร้างแรงจูงใจตั้งแต่เป็นนิสิตแพทย์ ควรมีการพิจารณาแนวทางในการจัดทำแผนการผลิตกำลังคนด้านการแพทย์ร่วมกัน ระหว่างแพทยสภา กระทรวงสาธารณสุข กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัย วิทยาลัย และสมาคมที่เกี่ยวกับแพทย์เฉพาะทาง เป็นต้น

          ปิดท้ายด้วยงานวิจัย “ยุทธศาสตร์เพื่อการรองรับโรคความเสื่อมของระบบประสาท ระยะที่ 4 : สู่ระบบการดูแลผู้ป่วยโดยอาศัยตัวชี้วัดชีวภาพ” อ.นพ.ภูษณุ ธนาพรสังสุทธิ์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ สรุปสาระสำคัญว่า ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ จึงมีโอกาสทำให้ผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีมาตรการรองรับ ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้ป่วยสมองเสื่อม 2 ล้านคนในปี 2592 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าประชากรของ จ.เชียงใหม่ หรือขอนแก่น หรืออุบลราชธานี และมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี นับเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของระบบสุขภาพหากไม่มีมาตรการรองรับ โดยงานวิจัยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาตัวชี้วัดชีวภาพโรคความเสื่อมของระบบประสาทในการวินิจฉัยหรือพยากรณ์โรคในคนไทย เพื่อใช้ตัวชี้วัดชีวภาพในการคาดคะเนภาระทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อศึกษาลักษณะทางคลินิกของโรคความเสื่อมของระบบประสาทต่างๆ ในคนไทย เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรคความเสื่อมของระบบประสาทและภาวะสมองเสื่อม และเพื่อให้มีข้อมูลในการศึกษาความคุ้มค่าทางการแพทย์ของการใช้ตัวชี้วัดชีวภาพ ซึ่งผลจากการวิจัยพบว่า การเจาะเลือดเพื่อดูค่า Plasma p-tau217 เป็นตัวชี้วัดชีวภาพที่พยากรณ์โรคได้แม่นยำที่สุด และมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า tau-PET และ amyloid-PET ทั้งนี้จากผลตัวชี้วัดชีวภาพที่ชัดเจน งานวิจัยมีแผนที่จะผลักดันให้เข้าสู่สิทธิประโยชน์ของระบบบัตรทอง พร้อมกับการพัฒนาเครือข่ายทางห้องปฏิบัติ และส่งเสริมให้แพทย์ทั่วไปเข้าใจในตัวชี้วัดชีวภาพ เพื่อการวินิจฉัยโรคสมองเสื่อม เพื่อการขยายบริการให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น และนอกจากการดำเนินการทางด้านคลินิกแล้ว ยังมีแผนที่จะจัดทำแนวทางการคัดกรองโรคสมองเสื่อมเบื้องต้นในระดับปฐมภูมิ เพื่อเป็นการป้องกันโรคที่จะสามารถครอบคลุมได้ทั้งประชากรในเขตเมืองและต่างจังหวัด   

รูปภาพเพิ่มเติม

แสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้