ข่าว/ความเคลื่อนไหว
สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) จัดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายนักสานพลังสร้างสุขภาวะ (คนส.) รุ่นที่ 3 (The Synergist Network : 3) เพื่อพัฒนาศักยภาพคนทำงานรุ่นใหม่/เครือข่ายใหม่ให้เกิดการเรียนรู้กระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพและสร้างสังคมสุขภาวะแบบมีส่วนร่วม และเกิดเป็นเครือข่ายการเรียนรู้การพัฒนาและขับเคลื่อนงานนโยบายสาธารณะ ซึ่งในรุ่นที่ 3 นี้ มีคนทำงานรุ่นใหม่จากหลากหลายเครือข่าย ทั้งหน่วยงานภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน สถาบันการศึกษา ภาคประชาสังคม จำนวน 55 คน ที่ร่วมเรียนรู้และเชื่อมเครือข่ายเพื่อสร้างสังคมสุขภาวะ โดยการพัฒนาศักยภาพ Module 1 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 - 17 พ.ค. 2568 ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์
ทั้งนี้ ในโครงการดังกล่าว สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) เป็นหนึ่งในภาคียุทธศาสตร์ที่ร่วมพัฒนาศักยภาพทางด้านวิชาการให้กับนักสานพลังสร้างสุขภาวะ โดยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2568 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้และบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เส้นทางระบบสุขภาพ : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อความเป็นธรรมสำหรับทุกคน” ว่า การจะพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านสุขภาพ ควรต้องมีความรู้ความเข้าใจและเห็นภาพของระบบสุขภาพทั้งหมดว่ามีความเป็นมาและครอบคลุมเรื่องอะไรบ้าง เพื่อการออกแบบนโยบายสาธารณะที่สามารถเชื่อมโยงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น อย่างเช่นหลักการและความเข้าใจเรื่องการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับบริบทในเรื่องนั้นๆ ว่าควรออกแบบการแก้ปัญหาที่มุ่งในเรื่องใดเป็นสำคัญ ซึ่งถ้าเป็นด้านการแพทย์มุ่งเน้นไปที่การดูแลสุขภาพของปัจเจกบุคคล และการรักษาเป็นรายบุคคล ส่วนการสาธารณสุขมุ่งเน้นไปที่การดูแลที่มองรวมเป็นกลุ่ม ชุมชน และภาพรวมของประเทศ โดยเน้นการป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันโรค 90% ขึ้นไป ก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ ไม่จำเป็นต้องฉีดทุกคน ด้านปัจจัยที่มีผลทำให้เกิดการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ หรือเสียสุขภาวะที่ดี ปัจจัยส่วนใหญ่ 40% เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพ รองลงมาเกิดจากพันธุกรรม 30% สภาพแวดล้อม 20% และการดูแลสุขภาพในสถานพยาบาล 10%
นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาและพัฒนาด้านสุขภาพมาโดยตลอด เห็นได้จากการจัดสรรงบประมาณถึง 14% มาใช้จ่ายกับเรื่องสุขภาพของประชาชน และค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน มากกว่า 80% รัฐรับผิดชอบดูแลเป็นหลัก รวมทั้งมีการใช้ยุทธศาสตร์ 2 ขาเชื่อมภาครัฐและภาคประชาชน โดยมีแกนกลางในการเชื่อม อาทิ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กลุ่มชุมชน กลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน ฯลฯ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่ทำให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาระบบสุขภาพให้มีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะระบบสุขภาพในระดับปฐมภูมิ ตลอดจนการมีแผนพัฒนาการสาธารณสุขแห่งชาติที่มีการพัฒนามาเป็นระยะ และการมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่สามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพให้กับประชาชนได้เป็นอย่างมาก
“ระบบสาธารณสุขประเทศไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก ซึ่งเทียบเท่ากับประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา โดยวัดจาก Life expectancy หรือ อายุโดยเฉลี่ยของประชากรที่คาดว่าจะมีชีวิตอยู่ ซึ่งเมื่อเทียบ Life expectancy ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกานั้น มีจำนวนปีของ Life expectancy ที่ใกล้เคียงกันมาก แต่จำนวนงบประมาณแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยสหรัฐลงทุน 12,000 เหรียญต่อคนต่อปี ไทยใช้ 300 เหรียญต่อคนต่อปี ต่างกัน 40 เท่า แต่ได้ผลใกล้เคียงกัน ทั้งนี้จุดแข็งที่สำคัญของประเทศไทยคือ การมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่สามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างถ้วนหน้า การให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพปฐมภูมิ มีการทำนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม การมีบทบาทนำในเวทีสาธารณสุขโลก มีความสามารถในการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรค บุคลากรทางการแพทย์มีศักยภาพ ระบบห้องปฏิบัติการและบริการทางการแพทย์มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ตลอดจนการเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบสุขภาพ ส่วนโอกาสในการพัฒนา อาทิ การลงทุนทางด้านสุขภาพที่มีเพิ่มขึ้น ความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐานรวมถึงด้านสุขภาพ ต่างประเทศให้ความยอมรับเรื่องการสาธารณสุขของประเทศไทย มีความต้องการเรื่อง wellness เพิ่มขึ้น มีการเกิดขึ้นของผู้เล่นใหม่ในเวทีสุขภาพโลก เช่น องค์กรต่างประเทศ มูลนิธิต่างๆ ฯลฯ นพ.ศุภกิจ กล่าว
นอกจากนี้ นพ.ศุภกิจ ยังชี้ให้เห็นสถานการณ์สำคัญที่กำลังคุกคามประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเร็วกว่าที่คาด ทำให้สังคมต้องแบกรับภาระการดูแลผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) จากข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยพบว่า ความชุกของผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูงในคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีความชุกของโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาไปสู่การเป็นโรคไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจตามมา อัตราเจริญพันธุ์ที่ลดลง ส่งผลให้สัดส่วนประชากรลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้นการพัฒนาเชิงระบบ จึงจำเป็นต่อการพัฒนาระบบสุขภาพเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งต้องมีการพัฒนาและเชื่อมโยงทุกมิติไปด้วยกัน ทั้งระบบบริการสุขภาพ กำลังคนด้านสุขภาพ การเงินการคลังด้านสุขภาพ ระบบสารสนเทศด้านสุขภาพ ยาและเทคโนโลยี การอภิบาลระบบสุขภาพ และระบบสุขภาพชุมชน ควบคู่กับการประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation: DE) ซึ่งเป็นการประเมินที่สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ระหว่างทาง และการให้ข้อมูลที่ช่วยลดการเกิดปัญหาต่างๆ ในอนาคต
“ทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น รวมทั้งการแก้ปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเรายังทำแบบเดิม ก็จะได้ผลแบบเดิมๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นเราต้องคิดใหม่ หรือสร้างนวัตกรรม เพื่อให้เกิดโอกาสของการแก้ปัญหาได้มากขึ้น ซึ่งนักสานพลังสร้างสุขภาวะ นับเป็นคนรุ่นใหม่ที่เป็นความหวังกับการพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ และพลังของเครือข่ายจะเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการช่วยขับเคลื่อนไปสู่การสร้างสังคมสุขภาวะที่มีความเป็นธรรมให้กับทุกคนในสังคม” นพ.ศุภกิจ ทิ้งท้าย
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้