4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

สวรส.ระดมเครือข่าย ยกระดับมาตรฐานวิจัยคลินิก ปรับระบบการจัดการ-พัฒนาเครือข่าย มุ่งประโยชน์ผู้ป่วย เพิ่มการลงทุนวิจัยให้ประเทศ

          สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ร่วมกับสมาคมผู้วิจัยและผลิตภัณฑ์ (PreMA) คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และ National Clinical Research Network (NCRN) จัดประชุมสัมมนาเครือข่ายการวิจัยคลินิก (Clinical Research Network) ประเทศไทย ครั้งที่ 1/2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับศักยภาพของศูนย์วิจัยทางคลินิกและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เครือข่ายการวิจัยทางคลินิกของประเทศไทย ตลอดจนเป็นเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นต่อทิศทางการดำเนินงานวิจัยทางคลินิกที่เป็นไปตามหลักมาตรฐานและระเบียบของนโยบายภาครัฐ รวมถึงได้มาตรฐานตามการปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกที่ดี (Good Clinical Practice: GCP) เพื่อนำไปสู่การพัฒนาองค์ความรู้ทางด้านการแพทย์โดยรวมต่อไป ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมสัมมนากว่า 160 คน ครอบคลุมผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัย หน่วยงานกำกับดูแล ผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ตลอดจนบุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐและเอชน เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2568 ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์

          นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข เปิดการสัมมนา พร้อมนำเสนอยุทธศาสตร์และทิศทางการยกระดับการวิจัยคลินิกในประเทศไทยว่า งานวิจัยทางคลินิกมีความสำคัญต่อการพัฒนายา เทคโนโลยี อุปกรณ์การแพทย์ ตลอดจนแนวทางหรือวิธีการรักษาใหม่ๆ ส่งผลให้เกิดความก้าวหน้าทางการแพทย์ และการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ ทั้งนี้สถานการณ์ระดับโลกของการลงทุนวิจัยและพัฒนา (R&D) ในภาพรวมมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยผลตอบแทนจากการลงทุนมีสูงถึง 7% ซึ่งประเทศแถบยุโรปเป็นพื้นที่ที่บริษัทยามีการลงทุนทำวิจัยมากที่สุด แต่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่แนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศจีน อเมริกา อาฟริกา และเอเชีย ตามลำดับ นอกจากนี้มูลค่าการลงทุนเรื่องงานวิจัยทางคลินิกในประเทศไทย ปี 2566 มูลค่ารวมอยู่ที่ประมาณ 33 พันล้านบาท และทั้งประเทศมีประมาณกว่า 100 โครงการต่อปี โดยที่ 80% เป็นแหล่งทุนจากภาคเอกชน และมากกว่า 60% เป็นการศึกษาวิจัยในโรงเรียนแพทย์เท่านั้น  

          นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีเครือข่ายสถานพยาบาลขนาดใหญ่ รวมกว่า 902 โรงพยาบาล และมีศูนย์วิจัยทางคลินิกทั้งประเทศประมาณ 38 แห่ง สังกัดกระทรวงสาธารณสุข 14 แห่ง สังกัดมหาวิทยาลัย 18 แห่ง และสังกัดอื่นอีก 6 แห่ง หากแต่มีศูนย์ฯ ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ไม่เกิน 9 ศูนย์ โดยการทำงานด้านการวิจัยทางคลินิกยังขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงไม่มีการทำงานแบบเครือข่าย ระบบนิเวศน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องยังไม่มีประสิทธิภาพมากพอ เช่น คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ (IRB/EC) ยังไม่มีมาตรฐานเดียวกัน ระบบการขึ้นทะเบียนยาใหม่มีความซับซ้อน นักวิจัยไม่เข้าใจขั้นตอน ขาด platform กลางในการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย ขาดคนกลางในการบริหารจัดการ ฯลฯ  ทั้งนี้ สวรส. มีแผนการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น การพัฒนาศักยภาพศูนย์วิจัย ทั้งศูนย์ใหม่และศูนย์เดิม รวมถึงบุคลากรวิจัย โดยอบรมบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย และสร้างความก้าวหน้าร่วมกับองค์กรวิชาชีพ กำหนดมาตรฐานศูนย์วิจัย และประเมินให้การรับรองคุณภาพ สร้างศักยภาพการบริหารงานวิจัย และความรู้ทักษะใหม่ที่เกี่ยวข้อง จัดระบบการทำงานแบบเครือข่าย ปรับระบบการทำงานร่วมกัน และสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ จัดทำ digital platform กลาง เพื่อการบริหารข้อมูลและรายงานผลในส่วนกลาง การจัดการศูนย์ มีคณะกรรมการที่ปรึกษา คณะทำงานวิชาการ ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้า โดยคาดหวังผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ พัฒนาศักยภาพศูนย์วิจัยคลินิกที่ได้มาตรฐาน จำนวน 30 ศูนย์ พัฒนาบุคลากรวิจัย อาทิ แพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักวิจัย คณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ พัฒนาระบบจัดการงานวิจัยรองรับงานวิจัยผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง ระบบสารสนเทศงานวิจัยคลินิกในประเทศ ระบบสื่อสารงานวิจัยกับประชาสังคม ตลอดจนมีการทำงานเป็นเครือข่าย ซึ่งการยกระดับมาตรฐาน ปรับระบบการจัดการ และการสร้างเครือข่ายในการทำงานด้านการวิจัยทางคลินิก เป็นสิ่งที่หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องรวมพลังเป็นทีมไทยแลนด์ และช่วยกันเดินหน้าเรื่องนี้ไปด้วยกัน 
     
          นอกจากนี้ยังมีเวทีอภิปรายเรื่องการแลกเปลี่ยนและสร้างข้อมูลระบบเครือข่ายศูนย์วิจัยทางคลินิกแห่งชาติ โดย นพ.ภุชงค์ ผดุงสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทคลินิเซอร์ (CliniXir) ดร.นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการกองวิชาการและแผนงาน กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และ ศ.นพ.รุ่งโรจน์ กฤตยพงษ์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และเรื่องแนวทางการวิจัยทางคลินิกแบบกระจายศูนย์ Thailand Decentralized Trail National Guideline โดย ศ.เกียรติคุณ ดร.พญ.จันทรา เหล่าถาวร ประธานมูลนิธิซิดเคอร์-เฟอร์แคป ภญ.วรสุดา ยูงทอง ผู้อำนวยการกองยา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ภญ.ศิริรัตน์ เทียนขาว Global Clinical Operations, Country Head Thailand บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ไทย) จำกัด และ ศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาจักรีสิรินธรในพระราชูปถัมภ์ ฝ่ายวิจัยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

          ช่วงท้ายของการสัมมนามีการแบ่งกลุ่มระดมความคิดเห็นถึงแนวทางการทำงานร่วมกันของเครือข่ายการวิจัยคลินิกประเทศไทยในอนาคต ซึ่งความเห็นโดยรวมและสิ่งที่แต่ละกลุ่มให้ความสำคัญคือ การสร้างเครือข่ายในการทำงานร่วมกัน เช่น การเลือกประเด็นวิจัยที่เป็นปัญหาร่วมกันในพื้นที่ การส่งต่อกลุ่มเป้าหมายภายใต้โครงการวิจัย เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย ฯลฯ รวมถึงผู้บริหารต้องให้ความสำคัญตั้งแต่ระดับนโยบาย การปรับโครงสร้างและกำหนดอัตรากำลัง เพื่อการทำงานวิจัยให้ชัดเจน ทั้งนี้พื้นที่ทำวิจัยหลักกับพื้นที่ที่กระจายไปทำวิจัย ควรทำงานแบบเป็น partnership กัน มีการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพไปด้วยกัน ส่วนเรื่อง Data governance ควรให้ความสำคัญกับการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งถือเป็นข้อมูลภาพรวมของประเทศที่สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ การรับรองมาตรฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อยกระดับการทำงาน คณะกรรมการ CREC และ EC ควรมีการทำงานร่วมกัน ควรมีการแก้ไขระเบียบการเบิกจ่ายงบประมาณให้มีความคล่องตัว มีการจัดแบ่งค่าดำเนินการ (Overhead) ที่เหมาะสมและเป็นธรรม ตลอดจนควรดึงหน่วยงานภาคเอกชนมาร่วมเป็นเครือข่ายด้วย

รูปภาพเพิ่มเติม

แสดงความคิดเห็น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้