ข่าว/ความเคลื่อนไหว
หนึ่งในคำแถลงนโยบายของรัฐบาล คือการเปิดรับแรงงานข้ามชาติ เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ สอดคล้องกับข้อมูลรายได้ต่อหัวของประชากรไทยหรือจีดีพี ที่ส่วนหนึ่งต้องพึ่งพิงแรงงานข้ามชาติจำนวนไม่น้อย คิดเป็นสัดส่วนถึงประมาณ 6.2% ประชากรกลุ่มนี้จึงถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ โดยแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทย คิดเป็น 7.3% ของประชากรวัยทำงานของประเทศ แต่มีอีกจำนวนมากที่ยังอยู่นอกระบบการจ้างงาน ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังคงมีความต้องการแรงงานข้ามชาติสูงอย่างต่อเนื่อง
อีกด้านหนึ่งแรงงานข้ามชาตินับเป็นผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพ และต้องเผชิญอุปสรรคในการเข้าถึงบริการสุขภาพพื้นฐาน ทั้งในเรื่องภาษาและวัฒนธรรม ความรอบรู้ด้านสุขภาพ การถูกเลือกปฏิบัติ และข้อจำกัดในการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ นอกจากนี้ในจำนวนแรงงานข้ามชาติที่ได้รับอนุญาตให้ทำงานในประเทศไทยจำนวน 3.04 ล้านคน มีเพียง 1.43 ล้านคนที่เป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ขณะที่จำนวนผู้โยกย้ายถิ่นฐานอีกราว 1 - 2.5 ล้านคน ยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย โดยจำนวนผู้ลงทะเบียนในระบบประกันสุขภาพคนต่างด้าวและแรงงานต่างด้าวของกระทรวงสาธารณสุขในปี พ.ศ. 2566 มีเพียง 621,737 คน ส่วนระบบประกันสุขภาพของแรงงานต่างด้าว ปัจจุบันมี 2 ระบบคือ ระบบประกันสังคมและระบบประกันสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นระบบที่มีการให้บริการแตกต่างกัน นอกจากนี้ภาระในการให้บริการแรงงานต่างด้าวของสถานพยาบาลบางพื้นที่ พบผู้ป่วยนอกคิดเป็น 15% ส่วนผู้ป่วยที่ต้องนอนโรงพยาบาล คิดเป็น 27% หรือประมาณ 1 ใน 4 ของผู้ป่วยทั้งหมดในโรงพยาบาล ซึ่งประเทศไทยต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ปีละกว่าหลายร้อยล้านบาท
ปัญหาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของที่มาความสำคัญของการรวมกลุ่ม คณะทำงานว่าด้วยสุขภาพผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (Migration Health Sub-Working Group: MHWG) ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของหลายภาคส่วน ภายใต้เครือข่ายสหประชาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน ประเทศไทย (Thailand United Nations Network on Migration: UNNM) ซึ่งมีสมาชิกทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ สถาบันระดับชาติ องค์กรภาคประชาสังคม และหน่วยงานสหประชาชาติ เพื่อขับเคลื่อนประเด็นด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับผู้โยกย้ายถิ่น ตลอดจนการหาแนวทางร่วมกัน เพื่อการส่งเสริมสุขภาพผู้โยกย้ายถิ่นในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2566 จากการรวมกลุ่มย่อยภายใต้เครือข่ายสหประชาชาติว่าด้วยการโยกย้ายถิ่นฐาน ประเทศไทย (UNNM) ในช่วงที่ผ่านมา โดยคณะทำงาน MHWG เป็นคณะทำงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยประกอบด้วยหน่วยงานสำคัญด้านการควบคุมโรค, การวิจัยระบบสุขภาพ, การสร้างเสริมสุขภาพ ด้านความร่วมมือระหว่างประเทศ และองค์กรภาคประชาสังคม อาทิเช่น กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักความร่วมมือระหว่างประเทศ กรมควบคุมโรค, ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐฯ ด้านสาธารณสุข (MoPH – U.S.CDC Collaboration - TUC), สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.), สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM), องค์การอนามัยโลก (WHO), องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO), สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP), องค์การเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ (UN Women) ทั้งนี้ได้มีการเปิดตัวคณะทำงาน MHWG อย่างเป็นทางการ โดยมีผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ สวรส. สสส. IOM ร่วมพิธีเปิดตัวคณะทำงานดังกล่าว เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 2 กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีความพร้อมในการดูแลทุกคนบนแผ่นดินไทย เห็นได้จากช่วงวิกฤตโควิด 19 นอกเหนือจากคนไทยที่ได้รับการดูแลแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคัดกรอง การรักษาพยาบาล หรือการฉีดวัคซีนป้องกัน ประชากรข้ามชาติที่อยู่ในประเทศไทย ก็ได้รับวัคซีนด้วย ซึ่งจาก 140 ล้านโดสที่ฉีดไป มีถึง 5 ล้านโดสเป็นจำนวนที่ฉีดให้กับประชากรข้ามชาติในประเทศไทย นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังมีการให้บริการพื้นฐานด้านสุขภาพกับประชากรข้ามชาติ เช่น วัคซีนสำหรับเด็กเล็ก หรือวัคซีนบางตัวสำหรับผู้ใหญ่ที่ควรได้รับทั้งคนไทยและประชากรข้ามชาติ เพื่อการป้องกันโรค สร้างภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค, การเข้าถึงบริการคัดกรองโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ, ระบบหลักประกันสุขภาพ สำหรับผู้ที่ขึ้นทะเบียนแรงงานเข้ามาทำงานอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันมีการขยายบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนที่อยู่ในประเทศไทยมีหลักประกันสุขภาพ และมีสุขภาพที่ดี เมื่อเจ็บป่วยได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและเหมาะสม จึงเชื่อว่าการเปิดตัวคณะทำงาน MHWG จะช่วยสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือ ทั้งในเรื่องการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร วิธีการทำงาน รวมทั้งมาตรการต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ประชากรข้ามชาติ ทั้งที่มีและไม่มีเอกสารแสดงตัวตน ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชากรข้ามชาติได้อีกทางหนึ่ง
Géraldine Ansart หัวหน้าสำนักงาน องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) สำนักงานประเทศไทย และผู้แทนคณะทำงานว่าด้วยสุขภาพผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (MHWG) กล่าวว่า หมุดหมายสำคัญของคณะทำงาน MHWG ในการขับเคลื่อนการพัฒนาระบบสุขภาพเพื่อผู้โยกย้ายถิ่นฐาน คือการมุ่งไปสู่เป้าหมายแห่งการบรรลุหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของผู้โยกย้ายถิ่นฐาน โดยคณะทำงาน MHWG มุ่งเน้น 3 เรื่องหลักๆ คือ 1) การสนับสนุนการพัฒนาและส่งเสริมนโยบายที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมสำหรับผู้โยกย้ายถิ่นฐาน 2) การยกระดับการเข้าถึงบริการสุขภาพ ประกันสุขภาพ และระบบสุขภาพของผู้โยกย้ายถิ่นฐาน 3) การสร้างเสริมบทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขต่างชาติ (อสต.) ในระบบบริการสุขภาพ ซึ่งก่อนที่จะมาเป็นคณะทำงาน MHWG ได้มีการรวมกันเป็นกลุ่มย่อย ภายใต้ UNNM
ว่าด้วยการเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 สำหรับผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ทั้งนี้จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้เห็นบทเรียนแล้วว่า ไม่มีใครปลอดภัย ถ้าทุกคนไม่ปลอดภัย
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า หากมองด้วยความเป็นธรรม ประชากรข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย นับเป็นกลุ่มที่เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจให้กับประเทศอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนั้นระบบหลักประกันสุขภาพของประเทศ จึงจำเป็นต้องครอบคลุมถึงกลุ่มประชากรข้ามชาติ ที่เป็นแรงงานสำคัญด้วย ซึ่งเป็นไปตามหลักการของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ต้องดูแลทุกคนบนแผ่นดินไทย โดย สวรส. เป็นเครือข่ายในการขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพของประชากรข้ามชาติมาโดยตลอด ด้วยการเป็นแกนหลักในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและองค์การอนามัยโลก ค.ศ. 2022-2026 (WHO-RTG Country Cooperation Strategy : CCS) ซึ่งเป็นอีกโมเดลตัวอย่างของการทำงานร่วมกันในเรื่อง Migrant Health โดยคณะทำงาน MHWG จะเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ทุกฝ่ายนำศักยภาพของแต่ละหน่วยงานมาช่วยกันขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพของประชากรข้ามชาติ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยได้รับการยอมรับในระดับสากลแล้ว โดยองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) รับรองว่า คณะกรรมการ MHWG เป็นกลไกที่จะช่วยพัฒนาสุขภาพคนพลัดถิ่นได้เป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากนี้คณะทำงาน MHWG จะเป็นตัวกลางในการเสนอแนวทางให้กับรัฐบาลว่าประเทศไทยควรดำเนินการอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้การดูแลผู้โยกย้ายถิ่นฐานมีทั้งความเป็นมิตร เป็นธรรม และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
คุณภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สสส. กล่าวว่า สสส. พร้อมสนับสนุนการดำเนินงานของคณะทำงานว่าด้วยสุขภาพผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งที่ผ่านมา สสส. ได้สนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาวะกลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพื่อให้เข้าถึงสิทธิต่างๆ ตามที่ควรจะได้รับ โดยมีแนวทางการทำงานสำคัญที่ดำเนินงานร่วมกับภาคประชาสังคมมากกว่า 40 องค์กร 1) มุ่งลดอุปสรรคหรือปัญหาการเข้าถึงสิทธิแรงงาน โดยเฉพาะสิทธิตามระบบหลักประกันสุขภาพ และประกันสังคม 2) พัฒนาศักยภาพแกนนำอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) ให้มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการสร้างเสริมสุขภาพ และสิทธิต่างๆ 2,000 คน เพื่อให้สามารถสื่อสารข้อมูลสุขภาพไปยังชุมชน สถานประกอบการ แคมป์ก่อสร้าง และช่วยกระจายข้อมูล องค์ความรู้ที่ถูกต้องไปยังกลุ่มแรงงานได้อย่างกว้างขวาง
“ขณะนี้สังคมยังมีทัศนคติ ความเข้าใจต่อกลุ่มแรงงานข้ามชาติในทางลบ จากการสำรวจความคิดเห็นคนไทยต่อกลุ่มประชากรข้ามชาติ ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระหว่างเดือน ก.พ. ปี 2566 - ก.พ. ปี 2567 มองว่ากลุ่มแรงงานข้ามชาติทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากร 22.9% ควรมีการจัดโซนนิ่งแยกกันอยู่กับคนไทย 62.2% ไม่สบายใจหากคนในครอบครัว คบหากับประชากรข้ามชาติ 48.9% ดังนั้นเพื่อลดอคติ และสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกัน สสส. เตรียมพัฒนาแพลตฟอร์มการสื่อสาร สร้างความเข้าใจ ส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน และมุ่งสร้างเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพกลุ่มแรงงานข้ามชาติ” ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
1
20
1
20
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้