ข่าว/ความเคลื่อนไหว
จากการทำงานร่วมกันของนักวิชาการต่างประเทศและนักวิชาการไทย เรื่องการประเมินผลระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทยในช่วงทศวรรษแรก (พ.ศ.2545 - 2554) ภายใต้กรอบการประเมิน 5 ด้าน ประกอบด้วย การพัฒนานโยบายและการออกแบบระบบ บริบทด้านนโยบายรัฐ การดำเนินนโยบาย ระบบอภิบาล และผลกระทบของนโยบาย ซึ่งการประเมินผลดังกล่าวได้มีการนำเสนอครั้งแรกในเวทีการประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้จุดประเด็นจึงขอนำเนื้อหาบทสรุปจากรายงานประเมินผลอิสระของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศต่อระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทย ในช่วงทศวรรษแรก (พ.ศ. 2545 - 2554) เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในวงกว้างต่อไป
ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทย : สัมฤทธิ์ผลและความท้าทาย
ภายหลังจากที่ประเทศไทยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบบริการสาธารณสุขมาร่วมสี่ทศวรรษและร่วมสามทศวรรษที่มีการพัฒนาระบบประกันสุขภาพระบบต่างๆ ก็สามารถสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประชาชนในปี พ.ศ. 2545 ทำให้ประชาชนทุกคนได้รับหลักประกันสุขภาพและสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพตามชุดสิทธิประโยชน์ที่จัดให้ แม้มีปัจจัยหลายประการที่นำมาซึ่งความสำเร็จดังกล่าว แต่ที่สำคัญที่สุดคงไม่พ้นความมุ่งมั่นในการปฏิรูปของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ภายหลังจากรัฐบาลไทยประกาศนโยบายดังกล่าวได้ปีเดียว ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุมประชากรไทยได้ถึง 47 ล้านคน หรือร้อยละ 75 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ไม่ถูกครอบคลุมโดยระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และประกันสังคม โดยระบบใหม่นี้รวมประชากรประมาณ 18 ล้านคนที่ก่อนหน้านี้ไม่มีประกันสุขภาพใดๆ ความน่าทึ่งของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าไทยนั้นไม่เพียงแต่สามารถขยายความครอบคลุมได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นหลังวิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย (พ.ศ. 2540) ไม่นาน และประเทศมีรายได้ประชาชาติต่อหัวเพียง 1,900 เหรียญสหรัฐ โดยมิได้ฟังเสียงคัดค้านจากผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศซึ่งเชื่อว่าระบบดังกล่าวไม่สามารถอยู่รอดทางการเงิน
นอกจานี้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าซึ่งอาศัยระบบภาษียังมีสัมฤทธิ์ผลที่น่าประทับใจในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ระบบดังกล่าวสามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพเพิ่มขึ้น ลดภาระรายจ่ายของประชาชนด้านค่ารักษาพยาบาล และปกป้องครัวเรือนจากภาระเสี่ยงด้านค่ารักษาพยาบาล หลักฐานเชิงประจักษ์แสดงให้เห็นว่าระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าประสบความสำเร็จในเป้าประสงค์เชิงนโยบายทั้งสามด้าน (ความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการ การปกป้องครัวเรือนจากภาระค่าใช้จ่ายที่สูงจนอาจทำให้ล้มละลาย และการลดอุบัติการณ์ความยากจนอันเนื่องจากภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล) ในระยะเวลาอันสั้น และดีขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ตัวอย่างความสำเร็จ คือ จำนวนการใช้บริการผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นจาก 2.41 ครั้งต่อคนต่อปี ในปี พ.ศ. 2546 เป็น 3.64 ครั้งต่อคนต่อปีในปี พ.ศ. 2554 และอัตราการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวระหว่างช่วงเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นข้อมูลในปี พ.ศ. 2553 ยังชี้ให้เห็นว่าความชุกของประชาชนไทยที่เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่จำเป็น (unmet need) อยู่ในระดับที่ต่ำมาก อุบัติการณ์ของภาระค่าใช้จ่ายที่อาจทำให้ล้มละลายในกลุ่มคนจนลดลงจากร้อยละ 6.8 ในปี พ.ศ. 2538 เหลือร้อยละ 2.8 ในปี พ.ศ. 2551 นอกจากนั้นอุบัติการณ์ของความยากจนอันเนื่องจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลซึ่งวัดจากครัวเรือนที่มีรายได้เหนือเส้นความยากจนต้องมีรายได้คงเหลือต่ำกว่าเส้นความยากจนภายหลังจ่ายค่ารักษาพยาบาลก็ลดลงอย่างมากจากร้อยละ 2.7 ในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งเป็นช่วงก่อนมีระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า เหลือร้อยละ 0.49 ในปี พ.ศ. 2552 ตัวชี้วัดซึ่งบ่งชี้ความสำเร็จของระบบดังกล่าวได้เป็นอย่างดีอีกประการ คือระดับความพึงพอใจที่สูงของประชาชนซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 83 ในปี พ.ศ. 2546 เป็นร้อยละ 90 ในปี พ.ศ. 2553 นอกจากนั้นแม้กลุ่มผู้ให้บริการพึงพอใจต่อระบบดังกล่าวค่อนข้างต่ำในระยะแรก คือเพียงร้อยละ 39 ในปี พ.ศ. 2547 แต่ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 79 ในปี พ.ศ. 2553
รายงานฉบับนี้นำเสนอข้อค้นพบสำคัญจากการประเมินการดำเนินงานของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในช่วงทศวรรษแรกอย่างรอบด้าน ซึ่งทำการประเมินในปี พ.ศ. 2554 ในกรอบห้าด้านหลักด้วยกัน คือ การพัฒนานโยบายและการออกแบบระบบ บริบทด้านนโยบายรัฐและการปฏิรูปอื่นของรัฐ การดำเนินนโยบาย ระบบอภิบาล และผลกระทบของนโยบาย ทั้งนี้รายงานฉบับนี้สรุปข้อค้นพบจากรายงานฉบับเต็มซึ่งดำเนินการโดยทีมนักวิจัยไทยห้าทีมด้วยกัน รายละเอียดฉบับเต็มสามารถสืบค้นได้จากเว็บไซต์ของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข www.hsri.or.th
เป้าหมายหลักของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า คือ การสร้างความเป็นธรรมแก่ประชาชนไทยในระบบสาธารณสุข โดยระบบนี้มีลักษณะสำคัญสามประการคือ 1) อิงระบบภาษีและไม่ต้องจ่ายค่าบริการเมื่อไปใช้บริการ 2) ครอบคลุมสิทธิประโยชน์อย่างรอบด้านและให้ความสำคัญกับระบบบริการปฐมภูมิ 3) ใช้งบประมาณและจ่ายค่าบริการแบบปลายปิดเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย นอกจากนั้นระบบนี้ยังครอบคลุมบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค รวมถึงยังมีกลไกลสำหรับการคุ้มครองสิทธิแก่ประชาชน ให้ข้อมูล และรับเรื่องร้องเรียน มีระบบการชดเชยกรณีได้รับความเสียหายจากการรักษาพยาบาล รวมถึงการกำหนดให้โรงพยาบาลต้องมีระบบพัฒนาคุณภาพบริการ (hospital accreditation)
กลุ่มนักการเมือง ภาคประชาสังคม และนักวิชาการ ต่างมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการปฏิรูประบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตั้งแต่การผลักดันการผ่านกฎหมาย พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การออกแบบระบบ การดำเนินนโยบาย และการประเมินผล ทั้งนี้ประสบการณ์ทั้งด้านบวกและลบจากระบบประกันสุขภาพอื่นๆที่มีการดำเนินงานก่อนหน้านี้ถูกนำมาใช้ในการออกแบบระบบ และการที่ประเทศไทยสามารถขยายการให้หลักประกันแก่ประชาชนทุกคนได้อย่างรวดเร็วก็เนื่องจากมีพื้นฐานที่พร้อมสำหรับการดำเนินงาน คือ มีโครงสร้างการให้บริการภาครัฐที่ครอบคลุมเต็มทุกพื้นที่ไปถึงระดับอำเภอและตำบล มีหน่วยงานวิจัยนโยบายและระบบสาธารณสุขที่มีศักยภาพ มีศักยภาพในการบริหารระบบสาธารณสุข และมีระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ที่พร้อมใช้งาน
การออกแบบระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญด้าน การเงินการคลัง การอภิบาลระบบ โครงสร้างองค์กรและการบริหารจัดการ กล่าวคือ ทำให้เกิดองค์กร ความสัมพันธ์ และวิธีการทำงานแบบใหม่ โดยตั้งใจใช้กลไกการเงินไปเสริมความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขเน้นเบนความสำคัญไปสู่ระบบบริการปฐมภูมิ เพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส การตอบสนองต่อประชาชน และความรับผิดชอบ โดยการดึงทุกภาคส่วนให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเชิงนโยบาย และอาศัยหลักฐานเชิงประจักษ์จากงานวิจัย เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสวงหาการสนับสนุนและทัดทานแรงต้านในการปฏิรูปจากผู้มีส่วนได้เสียบางกลุ่ม
ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าต้องเผชิญกับอุปสรรคความท้าทายในการปฏิรูปที่ผ่านมาที่ยังไม่ลงตัวซึ่งต้องการปฏิรูปใหม่อีกรอบในช่วงทศวรรษต่อๆไป โดยต้องใช้หลักฐานเชิงประจักษ์เป็นตัวนำ โดยประเด็นการปฏิรูปซึ่งยังไม่ลงตัว คือ การบริหารระบบการแยกบทบาทระหว่างผู้ซื้อและผู้ให้บริการ การซื้อบริการอย่างมีกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม และการผสานเพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างกองทุนประกันสุขภาพ นอกจากนั้นความยั่งยืนของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้ายังต้องพัฒนาระบบและนวัตกรรมที่เหมาะสมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงด้านประชากร เทคโนโลยี ความคาดหวังของประชาชน และการแสวงหากำไรของการค้าในระบบบริการสาธารณสุข
คณะผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศอาศัยความรู้ที่ได้จากการประเมินครั้งนี้ให้ข้อเสนอแนะเพื่อความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าในช่วงทศวรรษหน้าดังนี้
การประเมินระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยยังให้บทเรียนที่มีประโยชน์ต่อประเทศอื่นที่กำลังมุ่งไปสู่การจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประชาชนของตน และต่อองค์กรแหล่งทุนที่สนับสนุนประเทศเหล่านี้ ดังนี้
ที่มา : บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
Thailand ’s Universal Coverage Scheme : Achievement and Challenges
An independent assessment of the first 10 years (2001-2010)
เผยแพร่ในงาน แถลงข่าว “1 ทศวรรษ (2001-2011) หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า”
สัมฤทธิ์ผลกับความท้าทายใหม่ : เป้าหมายสู่ทศวรรษหน้าอย่างยั่งยืน
วันที่ 24 มกราคม 2555 ณ Centara Grand & Bangkok Convention Centre, Central World
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้