ข่าว/ความเคลื่อนไหว
องค์การอนามัยโลก จับมือ 5 ส. ภาคีสุขภาพ เดินหน้าพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน เป้า 4,000 ตำบลครอบคลุมทั่วประเทศในปี 58 ประเดิม 100 ตำบลในปีแรก พร้อมขยายเพิ่ม 1,000 ตำบลทุกปี เปิดประตูสู่การพัฒนาด้วยงานมหกรรมสุขภาพชุมชน พร้อมสร้างชุมชนท้องถิ่นสุขภาวะ ขยายประโยชน์ไทยเชื่อมโยงสู่ระดับภูมิภาค
จากสถานการณ์การพัฒนาด้านสุขภาพที่ผ่านมา พบว่า ในหลายพื้นที่ให้ความสำคัญและมีการดำเนินงานบนฐานการมองเรื่องระบบสุขภาพเชื่อมโยงกับการพัฒนาชุมชนในภาพรวม โดยการพัฒนาเริ่มต้นจากการมองและเข้าใจปัญหาของผู้ป่วยตลอดจนบริบทที่เกี่ยวข้องในชุมชน ซึ่งหลายพื้นที่ประสบความความสำเร็จในการทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการสุขภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างดี โครงการที่น่าสนใจ เช่น โครงการรถเมล์สายสุขภาพขุนหาญ รพ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ที่ทำหน้าที่รับส่งผู้ป่วยถึงในชุมชนพร้อมเจ้าหน้าที่วิชาชีพประจำรถนำส่งข้อมูลล่วงหน้าก่อนเดินทางทำให้พร้อมตรวจได้ทันทีเมื่อถึงสถานพยาบาล ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยเกิดความพึงพอใจและพร้อมสมทบทุนร่วมสนับสนุนโครงการ หรือแม้แต่กรณี CUP ลำสนธิ จ.ลพบุรี ซึ่งมีระบบส่งต่อโดยนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ เช่น การโทรศัพท์ปรึกษา การใช้ internet หรือใช้ Skype และการส่งต่อผ่านระบบช่องทางด่วน (Green channel) ที่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ และยังมีอีกหลายพื้นที่ที่มีการดำเนินการในลักษณะนี้ แต่ยังขาดการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ซึ่งส่งผลให้เกิดความไม่ต่อเนื่องและขาดโอกาสในการพัฒนา จึงนำมาสู่ “แผนพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” ภายใต้ความร่วมมือของรัฐบาล องค์การอนามัยโลก (WHO) โดยมีเครือข่ายองค์กรด้านสุขภาพที่สำคัญของประเทศ ได้เเก่ กระทรวงสาธารณสุข สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข หรือ สวรส. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตลอดจนสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ สถาบันสุขภาพอาเซียน เป็นแกนกลางดำเนินงาน
ทั้งนี้ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะผู้แทนองค์กรเครือข่ายภายใต้แผนงานฯ กล่าวว่า “แผนพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” ดังกล่าว มีเป้าหมายสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในระบบสุขภาพชุมชน ซึ่งมุ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ 4,000 ตำบลที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ สู่การเป็นชุมชนท้องถิ่นสุขภาวะ โดยสร้างระบบสุขภาพชุมชนที่เข้มแข็งให้เกิดขึ้นภายในปี พ.ศ. 2558 โดยเริ่มจาก 100 ตำบลในปีแรก ที่จะทำการคัดเลือกพื้นที่ตำบลต้นแบบที่มีเกณฑ์พิจารณาพื้นที่จาก 2 ลักษณะ คือ 1) เป็นพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนท้องถิ่น ที่ทับซ้อนกันของ 2-3 องค์กรภาคี รวมจำนวน 40 แห่ง และ 2) พื้นที่ที่องค์กรภาคีตัดสินใจเชิญเข้าร่วมเป็นพื้นที่ต้นแบบ ภาคีละ 15 แห่ง รวมจำนวน 60 แห่ง โดยเชื่อมั่นว่าแผนงานดังกล่าวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบสุขภาพของประเทศได้ ใน 3 ระดับ คือ ระดับหน่วยบริการปฐมภูมิ ทำให้ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ 5 อันดับแรกถูกนำไปสู่การแก้ไข ปัญหาสุขภาพของชุมชน 5 อันดับแรกลดลง มีแผนงานพัฒนาสุขภาพที่เกิดจากการใช้ข้อมูลชุมชนและการมีส่วนร่วมจากชุมชน โดยระดับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะนำไปสู่การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนา รวมทั้งความร่วมมือในการพัฒนาด้านสุขภาพจะเป็นไปตามความต้องการของพื้นที่ เป็นต้น โดยจุดแข็งของแผนงานนี้ อยู่ที่การร่วมประสานความเชี่ยวชาญและทรัพยากร บนฐานการทำงานในเป้าหมายเดียวกันขององค์กรภาคีด้านสุขภาพที่สำคัญของประเทศ ซึ่งพร้อมให้การสนับสนุนผ่านแผนงานดังกล่าว โดยยุทธศาสตร์การทำงานสำคัญ คือ “การพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ” โดยการต่อยอดกระบวนการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนที่องค์กรภาคีดำเนินการอยู่แล้วในระดับตำบล “การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้” โดยเน้นความรู้จากการปฏิบัติจริงในพื้นที่ และนำความรู้ไปใช้ในการขยายผล “การพัฒนานโยบาย” โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่นำไปสู่การพัฒนาบทบาทหน้าที่ การปรับแนวคิดและกระบวนการทำงานใหม่ขององค์กรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจน “การสร้างเครือข่ายและขับเคลื่อนทางสังคม”
นพ.ไพจิตร์ วราชิต กล่าวเพิ่มเติม “งานมหกรรมสุขภาพชุมชน ครั้งที่ 2” ภายใต้แนวคิด “จากความรู้สู่ระบบการจัดการใหม่ จินตนาการเป็นจริงได้ไม่รู้จบ” นี้เป็นส่วนหนึ่งของ “แผนพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” ”ซึ่งจะเป็นประตูเริ่มต้น เปิดประเดิมไปสู่การพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนเข้มแข็ง สู่ 4,000 ตำบลเป้าหมายภายในปี 2558 ดังกล่าว และจากการรวมตัว ร่วมคิด ร่วมเรียนรู้ของทุกท่านใน 3 วันนี้ จะนำไปสู่การสร้างความรู้และต่อยอดเป็นระบบการจัดการใหม่ ๆ ที่จะนำกลับไปใช้เกิดเป็นความรู้และจินตนาการใหม่ๆ ได้อีกอย่างไม่รู้จบ ตามแนวคิดและเป้าหมายประสงค์ของงานมหกรรมสุขภาพชุมชนในครั้งนี้ ที่ขอให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมกันคิด ร่วมกันเรียนรู้ร่วมกันอย่างเต็มที่”
Dr.Maureen E. Birmingham ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย ในฐานะผู้แทนองค์กรเครือข่ายภายใต้แผนงานฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “แผนพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน” นอกจากจะทำให้ประเทศไทยเกิดระบบสุขภาพชุมชนที่เข้มแข็งแล้ว ยังเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาระบบสุขภาพในภูมิภาค รวมทั้งการทำงานในลักษณะหุ้นส่วนการพัฒนาในครั้งนี้ ยังเป็นการเปิดมุมมองและพัฒนาการทำงานขององค์กรภาคีในอันที่จะลดความทับซ้อน เกิดการเสริมหนุนโดยมองเป้าหมายเดียวกัน และบูรณาการการทำงานอย่างเป็นระบบ”
นพ.พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ในฐานะผู้แทนองค์กรเครือข่ายภายใต้แผนงานฯ กล่าวว่า “จากแนวคิดภายใต้แผนพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน ที่ให้ความสำคัญกับระบบสุขภาพบนฐานการพัฒนาชุมชนในภาพรวม โดยเพิ่มบทบาทและการมีส่วนร่วมของ อปท. ภาคประชาชน และองค์กรชุมชนและการเรียนรู้ใหม่ขององค์กรต่างๆ นั้น นำมาสู่การพัฒนาและถ่ายทอดมาเป็นกิจกรรม ภายใต้ชื่องานมหกรรมสุขภาพชุมชน ครั้งที่ 2 “จากความรู้สู่ระบบการจัดการใหม่ จินตนาการเป็นจริงได้ไม่รู้จบ” โดยส่วนหนึ่งเราเชื่อว่า การเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้นจากกิจกรรมต่างๆในงานนี้ จะนำไปสู่การจัดการและจินตนาการที่สร้างสรรค์ ซึ่งจะเป็นเครื่องมือสำคัญนำสู่เป้าหมายของการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน ซึ่งตลอดเส้นทางของการพัฒนาก็จะเกิดการเรียนรู้ใหม่ๆ พร้อมนำกลับมาเรียนรู้ต่อไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดย “มหกรรมสุขภาพชุมชนครั้งที่ 2” นี้ มิใช่เพียงเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และการนำเสนอนวัตกรรมต่างๆ ของผู้คนที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังเป็นการมาร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ของผู้คนที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ที่จะทำให้เป้าหมายการพัฒนาระบบสุขภาพชุมชนเป็นจริงตามที่ได้ตั้งใจ และการประชุมครั้งนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ 18-20 มกราคม 2555 มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 4,000 คน ซึ่งการประชุมประกอบด้วยเวทีวิชาการที่นำเสนอแนวคิด เครื่องมือ และกรณีศึกษาต่างๆ เกี่ยวกับ “การบริหารจัดการ” พร้อมทั้งข้อเสนอเชิงนโยบาย ลานกิจกรรมที่แสดงนวัตกรรมของพื้นที่กว่า 200 แห่ง รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ เพื่อเสริมสร้างขวัญ กำลังใจ และปลุกเร้าอุดมการณ์ของผู้ปฏิบัติงานในชุมชน ทั้งนี้ทางองค์กรเครือข่ายร่วมจัดมีความตั้งใจและต้องการให้งานมหกรรมสุขภาพชุมชน ครั้งที่ 2 นี้เกิดประโยชน์ต่อผู้เข้าร่วม ตลอดจนการเรียนรู้ร่วมกันขององค์กรเครือข่ายภาคีต่างๆ ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่านมีส่วนร่วมคิด ร่วมแลกเปลี่ยน และนำความรู้ที่ได้กลับไปพัฒนาในพื้นที่หรือกลุ่ม องค์กรของท่านต่อไป”
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้