ข่าว/ความเคลื่อนไหว
จะว่าไปแล้วพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต ก็เปรียบเสมือนเข็มทิศสุขภาพที่ชี้ทิศชี้ทางได้อย่างชัดเจน ถ้ากินดี กินในปริมาณที่เหมาะสม กินหลากหลาย อารมณ์ดี สิ่งแวดล้อมดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สุขภาพที่ดีจะไปไหนเสีย
แต่ด้วยพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ตามภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่ขุดหลุมพรางนำทางไปสู่การบริโภคอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ การรับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย ขาดการออกกำลังกาย มีความเครียด สูบบุหรี่และดื่มสุรา ต่างล้วนแล้วแต่เป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้เราเปิดประตูรับโรคภัยต่างๆ เข้ามาโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะ “โรคอ้วนลงพุง” โรคที่พร้อมต่อยอดเป็นโรคอื่นๆ ได้อีกไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดแดงแข็ง ตีบ และอุดตัน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ฯลฯ และหากโรคเหล่านี้มาเยือนถึงตัว คงหนีไม่พ้นที่จะต้องเป็นภาระของครอบครัวทั้งด้านการเงินและการดูแล รวมทั้งสูญเสียงบประมาณของประเทศในการรักษาพยาบาลเป็นจำนวนมากอีกด้วย
ตามข้อมูลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยโดยการตรวจร่างกาย ครั้งที่ 4 ปี 2552 ซึ่งเป็นการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยทุกๆ 5 ปี โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะน้ำหนักเกินและอ้วนมากกว่า 1 ใน 3 โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และพบในประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตชุมชนเมืองมากกว่านอกเขตชุมชนเมือง นอกจากนี้ รายงานการศึกษายังระบุด้วยว่า “โรคอ้วนลงพุง” เป็นสาเหตุให้เกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคหัวใจและหลอดเลือดมาเป็นอันดับต้นๆ โดยมีคนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เฉลี่ยวันละ 236 คน หรือชั่วโมงละ 10 คน ที่สำคัญโรคดังกล่าวมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสูงมากเมื่อเทียบกับโรคอื่น ดังนั้น จึงควรมีมาตรการควบคุม ป้องกันโรคอ้วนลงพุง ภาวะแทรกซ้อน และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังต่างๆ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และสร้างสุขภาวะที่ดีของประชาช
► แนวทางการออกกำลังกายสำหรับผู้มีปัญหาโรคอ้วนลงพุงและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จับหลักง่ายๆ 3 ข้อ 1. เหนื่อย ให้พอดี 2. เหนื่อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และ 3. เหนื่อยต่อเนื่อง 30 นาที โดยอาจหากิจกรรมที่เหมาะสมซึ่งเป็นกิจกรรมที่ใช้แรงกระแทกน้อย เช่น การเดิน ว่ายน้ำ หรือใช้อุปกรณ์ออกกำลังกาย อย่างเช่น จักรยาน ก็ได้ |
งานวิจัยตอบโจทย์การพัฒนา-แก้ปัญหาระบบสุขภาพ
จากวิถีคนเมืองที่เปลี่ยนไปส่งผลต่อปัญหาสุภาพอย่างชัดเจน กรุงเทพมหานครจึงเป็นพื้นที่เป้าหมายของการศึกษาวิจัย โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงได้ศึกษารูปแบบการจัดการปัญหาภาวะอ้วนลงพุงและภาวะแทรกซ้อนของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อมองภาพใหญ่ตั้งแต่ด้านนโยบาย ไปถึงระบบการจัดการและรูปแบบกิจกรรมที่ครอบคลุมทั้ง 4 มิติ ได้แก่ สร้างเสริมสุขภาพ ป้องกันควบคุมโรค ตรวจรักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยให้ความสำคัญกับการรณรงค์และป้องกันโรคอ้วนลงพุงเชิงบูรณาการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดำรงชีวิตประจำวันอย่างถาวรในที่สุด
โครงการวิจัยได้มีการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 399 คน เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพทั่วไป พฤติกรรมการกิน การดำเนินชีวิต และการออกกำลังกาย โดยพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ใน กทม.มีความเสี่ยงเป็นโรคอ้วนลงพุง คิดเป็นร้อยละ 44.1 รองลงมามีภาวะโรคอ้วน ร้อยละ 33.7 และอยู่ในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 24.1 ซึ่งภาวะเสี่ยงดังกล่าวเป็นเหตุมาจาก การกินอาหารที่ให้น้ำตาลสูง อาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ อาหารที่มีไขมันสูง อาหารจานด่วน ขนมกรุบกรอบ ขนมหวาน การกินอาหารไม่เป็นเวลา การไม่กินอาหารมื้อเช้าแต่ไปเน้นกินมื้อเย็น มีพฤติกรรมการสังสรรค์กับเพื่อนฝูงบ่อย การกินอาหารทั้งที่ไม่รู้สึกหิวเพราะอาหารมีสีสันและอยากกิน ไม่ออกกำลังกาย สมดุลของพลังงานรับเข้ามากกว่าพลังงานที่ใช้ไป ฯลฯ
นอกจากนี้ ผลวิจัยยังจำแนกพฤติกรรมการบริโภคออกเป็น 5 กลุ่ม 1) กลุ่มกินจุกจิก กินปริมาณมากจนอิ่มเกินเพราะความเสียดายอาหาร และขาดการออกกำลังกาย 2) กลุ่มเน้นเข้าสังคมและดื่มเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน เช่น ชา กาแฟ โกโก้ ช็อกโกแลต ชาเขียว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 3) กลุ่มกินอาหารบุฟเฟ่ต์ กินอาหารปริมาณมากและมักเลือกกินอาหารที่มีไขมันสูง 4) กลุ่มกินในปริมาณมากตามโฆษณา กินตามสะดวก และปรุงอาหารรสจัด และ 5) กลุ่มที่กินขนมบรรเทาความหิวหรือเป็นอาหารว่างหลังอาหารมื้อหลัก และมักมีนิสัยการกินที่เพลิดเพลินร่วมกับการดูโทรทัศน์ เล่นเกมส์ ตลอดจนข้อค้นพบที่สำคัญของกลุ่มสำรวจคือ ส่วนใหญ่ไม่ออกกำลังกาย จึงทำให้มีรูปร่างท้วม และเกิดภาวะอ้วนลงพุง
สำหรับข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาภาวะอ้วนลงพุง เช่น สำนักอนามัย กทม. ควรมีนโยบายส่งเสริมสุขภาพ เน้นการออกกำลังกาย สำนักการแพทย์ กทม. ควรมีนโยบายการตรวจสุขภาพ คัดกรองภาวะอ้วนลงพุงและภาวะแทรกซ้อนในทุกกลุ่มอายุ สนับสนุนให้สถานพยาบาลในสังกัด กทม. จัดทำแนวทางการให้ความรู้และความเข้าใจในภาวะโรคอ้วนลงพุง เพื่อชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่จะเกิดโรคหัวใจ หลอดเลือด หรือโรคอื่นๆ ในอนาคต ส่วนในด้านการติดตามผลการควบคุมภาวะโรคอ้วน ควรมีสถาบันการศึกษาหรือหน่วยงานวิจัยที่ทำหน้าที่ประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการการควบคุมภาวะอ้วนลงพุงในพื้นที่ระดับชุมชน โดยรัฐบาลต้องส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนบูรณาการการทำงานร่วมกันเพื่อลดภาวะอ้วนลงพุงในประชากร กทม. เป็นต้น
การใช้ประโยชน์ผลงานวิจัย |
งานวิจัย : โครงการพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาภาวะอ้วนลงพุงและภาวะแทรกซ้อนของประชากรในเขตกรุงเทพมหานคร
นักวิจัยหลัก : ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้