ข่าว/ความเคลื่อนไหว
สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และเครือข่าย 6 โรงเรียนรอบเหมืองทอง 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ขอขอบคุณรัฐบาลประยุทธ1 หน่วยงานในพื้นที่ หน่วยงานส่วนกลาง และผู้ประกอบการ แทนเด็กๆทุกคน ที่ช่วยกัน ทำทุกทางใน 3 ปีที่ผ่านมา ช่วยให้ระดับสารหนูที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเด็กลดลงจากที่เคยพบ 36 คนในร้อยคน เหลือเพียง 4 คนในร้อยคน
สืบเนื่องจากปี 2558 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดรอบๆการประกอบกิจการเหมืองทอง ได้แก่ จังหวัดพิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ ต่อมาได้ทำการตรวจพบสารหนูในร่างกายของเด็กและผู้ใหญ่ในปริมาณสูง ในปี 2559 คณะรัฐบาลมีมติให้ยุติการประกอบกิจการเหมืองทอง และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การดูแลสุขภาพประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยในเด็ก คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ร่วมกับสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข ทำการประเมินภาวะสารหนู ระดับสติปัญญาหรือไอคิว และภาวะการบกพร่องทางการเรียนรู้ในเด็กนักเรียน ประถมศึกษาปีที่ 4-6 ของ 6 โรงเรียน ที่อยู่ในพื้นที่รอบๆเหมือง พบว่า ร้อยละ 35.6 (73 คน ใน 205 คน) มีสารหนูในร่างกายสูงกว่าปกติ (≥ 35 μg As/L) ร้อยละ 38.4 (83 คน ใน 216 คน) มีไอคิวต่ำกว่า 90 ในเด็กที่ไอคิวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ร้อยละ 40.6 (86 ใน 212 คน) มีการศึกษาในต่างประเทศพบว่า เด็กเมื่อได้รับสารหนูเข้าสู่ร่างกายจะส่งผลให้มีไอคิวต่ำลง ในเด็กที่ไอคิวปกติยังพบว่าสารหนูมีผลต่อสมองก่อให้เกิดความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้ ในพื้นที่รอยต่อ 3 จังหวัดนี้ยังมีข้อถกเถียงกันว่าค่าสารหนูนี้สูงมาก่อนนานแล้วก่อนการประกอบกิจการเหมืองหรือไม่
ภายหลังการตรวจพบนี้ โรงเรียนในพื้นที่และนักวิชาการที่เกี่ยวข้องได้ร่วมมือกันพัฒนาโครงการดูแลเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โครงการเพิ่มพื้นที่เล่นเพื่อการเรียนรู้ และอื่นๆ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของเด็กๆ มาตลอดสามปี โดยในเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมานี้ หรือเกือบ 3 ปีให้หลังจากการตรวจประเมินรอบแรก ทีมวิจัยจากสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ดำเนินการประเมินระดับสารหนูในเด็ก ป.4-6 ไอคิวและความบกพร่องทางการเรียนรู้อีกครั้งในบริเวณพื้นที่เดิม โดยการสนับสนุนของสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ภายใต้โครงการวิจัยเพื่อติดตามผลกระทบจากสารอาร์เซนิก (สารหนู) แมงกานิส ไซยาไนด์ และฟื้นฟูภาวะบกพร่องทางสติปัญญา กระบวนการรู้คิด และการเรียนรู้ในเด็กประถมศึกษาปีที่ 4-6 ผลพบว่า สัดส่วนของการมีสารหนูสูงกว่าปกติในร่างกายของกลุ่มเด็กนักเรียน ป.4-6 ของ 6 โรงเรียนเดิม ลดลงจาก 35.6 เหลือร้อยละ 4.5 (9 คน ใน 199 คน) หรือลดลง 12 เท่าตัว ลดลงมากทุกโรงเรียน ทุกชั้นปี และทุกเพศ ขณะที่เด็กที่มีไอคิวต่ำกว่าเกณฑ์ปกติพบ ร้อยละ 40.6 (86 คน ใน 212 คน) ไม่แตกต่างจากเดิม แต่เด็กที่ไอคิวมากกว่าหรือเท่ากับ 90 มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ลดลงจากร้อยละ 40.6 เป็นร้อยละ 22.22 (28 คน ใน 126 คน)
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เราได้รับข้อมูลว่าสารหนูอยู่ในดินชั้นลึกของบริเวณละแวกนี้มานานแล้ว แต่ 3 ปีก่อนที่เราพบสารหนูในร่างกายเด็กๆ เราไม่รู้แน่ชัดว่าสารหนูที่สูงในเด็กมาจากการประกอบการใดที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมจนสารหนูสามารถเข้าสู่ตัวเด็กๆ หรือจริงๆแล้วเป็นสิ่งที่อยู่ในร่างกายเด็กๆทุกรุ่นทุกสมัยอยู่แล้ว แต่วันนี้เราพบว่าความเสี่ยงต่อการได้รับสารหนูในระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกายลดลงกว่า 12 เท่าตัว ภายในสามปีหลังจากมีการจัดการสิ่งแวดล้อมให้เปลี่ยนแปลง วอนทุกฝ่ายมีความตระหนัก หากจะให้มีการประกอบการใดที่อาจทำให้สิ่งแวดล้อมกลับมาที่จุดเดิม ขอให้โปรดทำการประเมินให้ถ้วนถี่ ว่าการประกอบการนั้นจะไม่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการได้รับสารหนูในเด็กๆกลับมาอีก
ทพ.จเร วิชาไทย ผู้จัดการงานวิจัย สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า เราทราบกันดีว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายหลายเรื่อง เรื่องที่สำคัญที่สุดแต่ยังมีการพูดกันน้อย คือ เด็กไทยเกิดน้อยลง และที่เกิดมาแล้วก็ยังเผชิญกับความเสี่ยงต่างๆที่ส่งผลต่อการพัฒนาสติปัญญา การเรียนรู้ และการเติบโตตามวัยที่สมส่วน คำถามคือ เราจะทำอยางไรให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ จะเห็นว่ามีเด็กไทยจำนวนหนึ่งก้าวขึ้นแข่งขันโอลิมปิกวิชาการได้รางวัลมากมายในแต่ละปี ขณะที่เด็กอีกจำนวนมากเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตั้งแต่ขาดการดูแลและพัฒนาอย่างเหมาะสม หรือได้รับการดูแลและพัฒนาแบบอย่างไม่เหมาะสม เช่น ตามใจมากเกินไป จนเด็กเติบโตขึ้นมาแล้วขาดความอดทน ขาดวินัยในการดูแลจัดการตนเอง หรือมีเด็กอีกกลุ่มที่เติบโตขึ้นมาภายใต้ปัจจัยเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมดังที่ อาจารย์อดิศักดิ์ได้กล่าวไปแล้ว
ทพ.จเร กล่าวต่อไปว่า แผนงานวิจัยเพื่อการพัฒนาการเด็กและวัยรุ่น เป็นแผนงานหนึ่งที่สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขต้องการสนับสนุนการวิจัยเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบและนโยบายเพื่อการป้องกันความเสี่ยง การพัฒนามาตรการต่างๆ และนโยบายที่ส่งเสริม และพัฒนาให้เด็กไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพ ไม่ต้องการให้เด็กกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งต้องถูกทอดทิ้ง No one left behind และเติบโตขึ้นมาจนกลายเป็นประชากรที่เป็นปัญหาของสังคม
“เราต่างก็มักจะชี้นิ้วด่าว่า กลุ่มเด็กและวัยรุ่นเหล่านี้ แต่ทุกคนต้องกลับมาตั้งคำถามว่า อะไรคือเหตุที่ทำให้เราได้ประชากรแบบนี้ขึ้นมาในสังคม การกล่าวโทษไม่ใช่ทางแก้ ทางแก้ต้องมองย้อนกลับขึ้นไปว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาตั้งแต่เกิดจนเติบโตขึ้นมา และหามาตรการต่างๆป้องกัน ตลอดจนให้การรักษา ฟื้นฟู หากเกิดปัญหาขึ้นแล้ว สวรส. ไม่ได้ต้องการแค่สนับสนุนการวิจัย แต่ต้องการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐ เอกชน สื่อมวลชน หันมาสนใจประเด็นการพัฒนาเด็กให้มากขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่กำลังถูกทอดทิ้งให้ความสนใจ เด็กและครอบครัวที่ตกอยู่ภายใต้ความเสี่ยงทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว สุดท้ายการศึกษานี้เป็นแค่หนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า การวิจัยจะช่วยชี้ให้เห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับเด็กกลุ่มที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยง สถานการณ์ขณะนี้ดีขึ้นหรือแย่ลง มีอะไรที่สะท้อนช่องทางที่จะนำไปสู่มาตรการและนโยบายเพื่อการป้องกัน แก้ปัญหา ขณะเดียวกันทุกฝ่ายต้องหยิบเอาบทเรียนจากการศึกษานี้ ไปลองส่องดูว่ายังมีเด็กกลุ่มไหน ครอบครัวใดบ้างที่เราหลงลืม และควรจะนำขึ้นมาพูดคุยให้สังคมสนใจมากกว่าความสนใจในเรื่องใกล้ตัว หรือเพื่อความบันเทิง” ทพ.จเร กล่าว
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้