4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

วิจัย สวรส. เสนอทบทวนเพื่อพัฒนาการเดินหน้านโยบายคลินิกหมอครอบครัวต่อ สธ.

วิจัย สวรส. ชี้ “ระบบบริการปฐมภูมิเขตเมือง” เป็นจุดแข็งของระบบบริการ แต่ควรเพิ่มความครอบคลุมคุณภาพ – มาตรฐานบริการ พร้อมแนะนโยบายคลินิกหมอครอบครัว ปรับทิศทางให้สอดรับกับบริบทและขยับในพื้นที่ประชากรหนาแน่นก่อน โดยเน้นการทำงานเชื่อมประสานทุกภาคส่วนเกี่ยวข้อง

          จากการประชุมคณะกรรมการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ณ อาคารสุขภาพแห่งชาติ นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) กล่าวว่า ปัจจุบันแนวโน้มประชากรที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ปัญหาสุขภาพที่อาจตามมา เช่น ปัญหาจากความแออัดของประชากร ปัญหาสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงทรัพยากรด้านสุขภาพ เป็นต้น การพัฒนาระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิในเขตเมืองให้เข้มแข็งจึงมีความสำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีนโยบายที่ตอบสนองต่อการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ อาทิ นโยบายคลินิกหมอครอบครัวของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) การจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตและระบบสุขภาพอำเภอ (พชอ.) และการพัฒนาระบบบริการสุขภาพอย่างมีส่วนร่วม จากมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 8 พ.ศ. 2558 โดย สวรส. ได้ร่วมสนับสนุนการวิจัยเรื่องการสังเคราะห์ทางเลือกของการพัฒนาระบบบริการสุขภาพเขตเมือง เขตสุขภาพที่ 3 เพื่อพัฒนาเป็นข้อเสนอใช้ประกอบแนวทางการพัฒนา

          ผศ.ดร.นพ.ภูดิท เตชาติวัฒน์ เครือข่ายนักวิจัย สวรส. สังกัดวิทยาลัยการจัดการระบบสุขภาพ มหาวิทยาลัยนเรศวร หัวหน้าโครงการวิจัยดังกล่าว นำเสนอถึงผลการศึกษาว่า ได้ทำการศึกษาระบบบริการปฐมภูมิเขตเมือง ในพื้นที่ อ.เมือง จ.นครสวรรค์ (โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์) และ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร (โรงพยาบาลกำแพงเพชร) พบว่า ทั้ง 2 พื้นที่ มีการบริหารจัดการระบบบริการฯ โดยมีกลุ่มงานเวชกรรมสังคมของโรงพยาบาลเป็นแกนหลัก การวางแผนจัดบริการภายใต้นโยบายคลินิกหมอครอบครัว ดำเนินการโดยหน่วยงานสังกัด สธ. โดยผ่านการจัดการของคณะกรรมการประสานงานสุขภาพระดับอำเภอ (คปสอ.) ทำให้เกิดจุดแข็งของระบบบริการฯ คือ มีการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้น ประชาชนพึงพอใจในบริการมากขึ้นจากการกระจายกำลังแพทย์ลงไปปฏิบัติงานตามเครือข่ายบริการปฐมภูมิ

          อย่างไรก็ตาม การวิจัยพบว่า คุณภาพและมาตรฐานบริการยังไม่ครอบคลุมทุกพื้นที่ การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเชิงรุกยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนเขตเมืองได้ทั่วถึง ขาดการสื่อสารเชิงนโยบายจากส่วนกลางที่มุ่งเน้นให้พื้นที่ดำเนินนโยบายคลินิกหมอครอบครัวในเขตเมือง ทั้งยังพบว่า ยังไม่สามารถจัดกำลังคนได้ตามกรอบนโยบายคลินิกหมอครอบครัวที่ครอบคลุมทุกพื้นที่เขตเมือง เช่น หน่วยบริการขาดแคลนแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ทำให้บุคลากรไม่เพียงพอต่อการจัดบริการ ทั้งยังขาดการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคการผลิตและผู้ใช้บุคลากร ขณะที่การวางแผนจัดบริการปฐมภูมิถูกกำหนดโดย สธ. เป็นหลัก การมีส่วนร่วมจากภาคส่วนอื่นๆ ยังมีน้อย

          ผศ.ดร.นพ.ภูดิท กล่าวถึงข้อเสนอเชิงนโยบายจากผลการศึกษา ว่า กระทรวงสาธารณสุข ควรปรับทิศทางของนโยบายคลินิกหมอครอบครัว โดยให้มุ่งเน้นและเร่งความครอบคลุมบริการในเขตเมืองหรือพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นก่อน พร้อมเร่งรัดให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของการให้บริการและพัฒนาบุคลากร เช่น การบูรณาการทักษะด้านเวชศาสตร์ป้องกันโรค การสร้างเสริมสุขภาพ ในการให้บริการในคลินิคและในชุมชน เร่งผลิต/พัฒนาพยาบาลปฐมภูมิ โดยให้เป็นผู้จัดการผู้ป่วยรายกรณี มุ่งเน้นการตอบสนองต่อปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและปัญหาสุขภาพของผู้สูงวัยเขตเมือง รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการจัดการระบบบริการปฐมภูมิในระดับพื้นที่แบบมีส่วนร่วมจากภาคีที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ให้บริการ ผู้ซื้อบริการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และประชาชน โดยร่วมกำหนดยุทธศาสตร์และจัดตั้งกลไกการเงินสำหรับพื้นที่เขตเมืองเพื่อให้เกิดการบริหารร่วมกันในพื้นที่ทั้งด้านการรักษาพยาบาลและการสร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค โดยทำงานควบคู่ไปกับคณะกรรมการ พชอ. ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างในการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้เสนอให้เร่งสร้างความชัดเจนในเรื่องบทบาทของสธ.และอปท.ที่อยู่ในเขตเมือง และเร่งรัดการพัฒนาฐานข้อมูลกลางเพื่อใช้ในการทำงานร่วมกันทั้งด้านการให้บริการและการบริหาร เป็นต้น

          ทั้งนี้ จากรายงานการประชุมคณะกรรมการ สวรส. ที่มี ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน ระบุว่า คลินิกหมอครอบครัวเป็นนโยบายสำคัญที่ สธ. ได้ดำเนินการปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิ ตามรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 กำหนดให้มีระบบการแพทย์ปฐมภูมิที่มีแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวดูแลประชาชนในสัดส่วนที่เหมาะสม โดยมีทีมหมอครอบครัวดูแลประชาชนจำนวน 10,000 คนต่อหนึ่งทีม เพื่อลดความแออัดของการเข้ารับบริการในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ซึ่งจากการติดตามและลงไปเยี่ยมในบางพื้นที่ ทำให้พบว่า นโยบายคลินิกหมอครอบครัว อาจยังไม่จำเป็นที่จะต้องลงไปในอำเภอที่ไม่ใช่เขตเมืองหรือมีจำนวนประชากรไม่มาก เนื่องจากพื้นที่นั้นๆ อาจมีการบริหารจัดการดีอยู่แล้ว และบุคลากรก็ยังรู้สึกมีความสุขกับการทำงาน เช่น โรงพยาบาลอัมพวา อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ซึ่งมีจำนวนประชากรไม่มาก จึงไม่จำเป็นต้องตั้งทีมหมอครอบครัว เพราะจะทำให้พื้นที่เกิดความยากลำบากในการจัดหาแพทย์มาประจำคลินิกฯ ทั้งๆ ที่การทำงานแบบเดิมนั้นดีอยู่แล้วและประชาชนก็พึงพอใจ ซึ่งโดยหลักการคลินิกหมอครอบครัว ควรเริ่มที่โรงพยาบาลศูนย์ (รพศ.) หรือโรงพยาบาลทั่วไป (รพท.) เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการในเขตเมือง แต่ไม่ใช่การปูพรมในทุกอำเภอ ดังนั้นในระยะแรกของการดำเนินงานตามนโยบาย พื้นที่จะต้องมีการจัดเตรียมระบบให้ดีก่อน รวมถึงเรียนรู้จากพื้นที่อื่นๆ ไปด้วย โดยผลงานวิจัยนี้เป็นประโยชน์อย่างมาก สำหรับเป็นข้อมูลในการทบทวนและปรับปรุงนโยบายฯ ของกระทรวงฯ ต่อไป

          สำหรับข้อเสนอจากงานวิจัยดังกล่าว ได้ถูกนำไปใช้ในการพิจารณาทบทวนนโยบายคลินิกหมอครอบครัวในการประชุมพัฒนาปฐมภูมิและคลินิกหมอครอบครัว กระทรวงสาธารณสุข ที่มี รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญ เช่น สธ. จะมีการทบทวนแผนการจัดตั้งคลินิกหมอครอบครัว โดยจะมีการตั้งทีมประเมินความเหมาะสมในการจัดตั้งทีมหมอครอบครัว เพื่อให้สามารถดำเนินงานได้จริงตามเกณฑ์ เช่น เกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนทีมหมอครอบครัวที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ ซึ่งต้องมีเกณฑ์กลางในการพิจารณาต่อไป ขณะที่ในช่วงเเรกนี้จะเน้นการพัฒนาที่เขตเมืองก่อน ส่วนเขตกึ่งชนบท/ชนบท ที่มีความพร้อมของทีมหมอครอบครัวก็สามารถดำเนินการได้เลย ทั้งนี้บทบาทหน้าที่ของทีมหมอครอบครัว จะต้องเป็นตัวกลางในการทำงานเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนงานในพื้นที่ ตลอดจนชุมชน ครอบครัว และ โรงพยาบาล ในการดูแลประชาชนตั้งแต่การสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค รักษา การฟื้นฟู และส่งต่อเพื่อรับการรักษากรณีที่เกินศักยภาพของหน่วยปฐมภูมิ รวมทั้งติดตามผู้ป่วยหลังออกจากโรงพยาบาล เป็นต้น

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้