4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

วิจัยเกาะติดและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยเบาหวาน ป้องกันหลอดเลือดตีบ & ลดอัตราการตัดขา

ผู้ป่วยเบาหวานที่เป็นโรคหลอดเลือดส่วนปลาย  มักพบปัญหา 2 อย่างคือ  หลอดเลือดตีบและเส้นประสาทเสื่อม  ทำให้เกิดแผลติดเชื้อได้ง่าย  และเมื่อเลือดมาเลี้ยงไม่พอ  แผลก็จะไม่หาย  จนนำไปสู่การรักษาที่ต้องตัดส่วนที่เน่าเสียออกไป  จากงานวิจัยพบว่า  ผู้ป่วยเบาหวานที่มีโรคหลอดเลือดส่วนปลายร่วมด้วย  มักมีโอกาสเสียชีวิตใน 3 ปี  โดยร้อยละ 56.5  เสียชีวิตจากโรคหัวใจขาดเลือด  ดังนั้นการตรวจคัดกรองโรคหลอดเลือดส่วนปลายในผู้ป่วยเบาหวานจึงมีความสำคัญและจำเป็นอย่างมาก  เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาและการป้องกันที่ทันเวลา  ลดการสูญเสียทรัพยากรของประเทศ  ทั้งทางด้านทรัพยากรมนุษย์และด้านเศรษฐกิจ

ถึงแม้โรคหลอดเลือดส่วนปลาย  ดูเหมือนเป็นโรคที่ไม่รุนแรง  แต่ในแง่ของอัตราการเสียชีวิตใน 5 ปี  มีอัตราค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโรคมะเร็งที่รุนแรงหลายชนิด อาทิ มะเร็งเต้านม  มะเร็งต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น  โดยโรคหลอดเลือดตีบตันส่วนปลาย  มักหมายถึงการตีบตันของหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงขา  ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเมื่อยน่องเวลาเดิน  เกิดแผลเรื้อรัง  นิ้วเท้าเน่า  และเสียขาในที่สุด  และส่วนมากเกิดจากกระบวนการหลอดเลือดแดงแข็งตัว อันมีปัจจัยเสี่ยงจากการสูบบุหรี่  โรคความดันโลหิตสูง  เบาหวาน  ไขมันในเลือดสูง  เช่นเดียวกับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ  และโรคหลอดเลือดสมอง  โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้ทีมวิจัยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  พร้อมการสนับสนุนทุนวิจัยจาก สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)  และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)  เพื่อเก็บข้อมูลอัตราการเกิดโรค  ปัจจัยเสี่ยง  การรักษา  การส่งต่อและดูแลต่อเนื่อง ฯลฯ  ที่สามารถนำมาวิเคราะห์และวางแผนการป้องกันที่ทันเวลา  รวมถึงการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วย  

เท้าเบาหวาน หรือเบาหวานลงเท้า ??
หนึ่งในภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยเบาหวาน
1. ตา : ตาจะฝ้าฟาง  มีปัญหาเรื่องเกี่ยวกับการมอง
2. ไต : ผู้ป่วยเบาหวานมักเป็นโรคไตวาย ต้องมีการฟอกไต
3. เท้า : เกิดแผลที่เท้า  เท้าดำเน่า  จนถึงขั้นถูกตัดขา

บัญญัติ 10 ประการ ดูแลเท้า ลดอัตราการตัดขา
1. ล้างเท้าทุกวัน  2. ตรวจเท้าทุกวัน  3. ทาครีมหรือน้ำมันมะกอกที่เท้าเป็นประจำ  4. ดูแลผิวหนังและตัดเล็บให้สะอาดอยู่เสมอ  5. ใส่ถุงเท้าก่อนใส่รองเท้าทุกครั้ง  6. ใส่รองเท้าตลอดเวลา แม้จะอยู่ในบ้าน  7. ตรวจสอบภายในรองเท้าก่อนสวมทุกครั้ง  8. ใช้รองเท้าที่เหมาะสมกับเท้า  9. หลีกเลี่ยงการแช่เท้าในน้ำหรือสารที่มีปฏิกิริยากับผิวหนัง  10. ออกกำลังกายเท้าเพื่อให้เท้าแข็งแรงอยู่เสมอ เช่น การฝึกใช้เท้าขยำหนังสือพิมพ์

ข้อมูลจาก : หน่วยวิจัยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ  มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โครงการภาระและระบบการดูแลโรคหลอดเลือดส่วนปลาย (ต่อเนื่องปีที่ 2)  เป็นการศึกษาแบบติดตามไปข้างหน้า  ในระยะเวลา 3 ปี  เก็บข้อมูลในหลายสถานที่วิจัย  ไม่มีการเปรียบเทียบ  และไม่มีการใช้ยาหรือการรักษาอื่น  โดยเก็บข้อมูลในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นโรคหลอดเลือดส่วนปลาย อายุตั้งแต่ 45 ปี ขึ้นไป  จำนวน 500 คน  จากโรงพยาบาลใน 3 จังหวัด  ได้แก่  โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่  โรงพยาบาลลำพูน  และโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์  ซึ่งการวิจัยต่อเนื่องในปีที่ 2  เป็นการศึกษาเพื่อประเมินหาอุบัติการณ์และปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ในการเกิดโรคหลอดเลือดรุนแรงและการเสียชีวิต  ซึ่งผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการทั้งหมดได้มาจากการศึกษาข้อมูลจากเวชระเบียนตามมาตรฐานการรักษาผู้ป่วย  โดยไม่มีการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม  นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอื่นๆ เพื่อการประเมินด้วย  เช่น  ประวัติการเจ็บป่วย  ประวัติการเกิดภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือดและการรักษา  ยาที่รับประทานอยู่ในปัจจุบัน  การทำหน้าที่ของไต  ฯลฯ

จากข้อมูลที่มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง  ในช่วงปีแรกพบอัตราการเกิดโรคหลอดเลือดส่วนปลายในผู้ป่วยเบาหวาน 12.7%  และผู้ป่วย 82.5%  ไม่มีอาการของโรคหลอดเลือดส่วนปลายนำมาก่อน  ดังนั้นมาตรการการตรวจหาการอุดตันของหลอดเลือดโดยการใช้เครื่องวัด ABI (Ankle-Brachial Index)  ในผู้ป่วยเบาหวานทุกคน  จึงควรต้องทำเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งการตรวจด้วย ABI เป็นวิธีการตรวจที่มีความไวและความจำเพาะสูง  ถ้าค่า  ABI  มีค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.9  แสดงว่ามีการอุดตันของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย  สำหรับในปีที่ 2  พบข้อมูลอุบัติการณ์การเกิดการเสียชีวิตแบบรุนแรงและเฉียบพลัน  ในระยะเวลาที่ศึกษาข้อมูล 18 เดือน  พบ 19% โดยเกิดบ่อยกับผู้ป่วยที่มีประวัติขาขาดเลือดและมีแผลเน่าเปื่อยเรื้อรัง  มีประวัติไตวายเรื้อรัง  และได้รับยา clopidogrel และ warfarin  ดังนั้นการดำเนินการรักษาควรใส่ใจผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้มาก  และควรให้ความสำคัญในการควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดหลอดเลือดแดงแข็ง

อย่างไรก็ตาม  ด้วยโรคเบาหวาน  เป็นโรคเรื้อรังที่ผู้ป่วยจำเป็นต้องมีการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องในการดูแลตนเอง และการได้รับการรักษาที่ถูกต้องเช่นกัน  ดังนั้นการศึกษาวิจัยจึงต้องมีการเก็บข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ในระยะยาว  ซึ่งโครงการภาระและระบบการดูแลโรคหลอดเลือดส่วนปลาย ก็เป็นอีกงานวิจัยหนึ่งที่มีการเก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง  โดยในปี 2560 นี้ เป็นการดำเนินงานต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 และคาดหวังว่า การสะท้อนข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายจากงานวิจัย  จะช่วยนำไปสู่การวิเคราะห์และวางแผนการป้องกันและดูแลผู้ป่วยเบาหวานที่ชัดเจนและเหมาะสมมากขึ้น  

ข้อมูลประกอบจาก : งานวิจัย "โครงการภาระและระบบการดูแลโรคหลอดเลือดส่วนปลาย (โครงการต่อเนื่องปีที่ 2) , สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้