ข่าว/ความเคลื่อนไหว
ท่ามกลางบริบทแห่งการพัฒนาที่ก้าวสู่ความเป็นเลิศในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ฯลฯ ส่งผลให้เกิดความเครียดจากการทำงาน การดำเนินชีวิต หรือปัญหาทางด้านสุขภาพจิตของผู้คนในสังคมเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว รวมทั้งผู้ป่วยโรคจิตเวช มักถูกคนรอบข้างหรือสังคมมองด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี หรือถูกตีตราว่าเป็น “คนโรคจิต” ทำให้ผู้ป่วยหลายคนรู้สึกไม่ดีและอายที่จะไปพบแพทย์เพื่อรักษาอาการให้ดีขึ้น ทั้งนี้จากข้อมูลประมาณการของกรมสุขภาพจิตในปี พ.ศ. 2551 พบว่า มีผู้ป่วยโรคซึมเศร้าในประเทศไทยราว 1.2 ล้านคน แต่เข้ารับการรักษาเพียง 1.5 แสนคน
ในช่วงที่ผ่านมา นโยบายและการจัดลำดับความสำคัญของโรคหรือปัญหาด้านสาธารณสุขในประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวกำหนดงบประมาณในการลงทุนด้านระบบบริการในปัจจุบันนั้น ให้ความสำคัญกับโรคที่ทำให้เสียชีวิตก่อนวัยอันควรมากกว่าโรคที่ทำให้เกิดความพิการ หรือโรคทางด้านสุขภาพจิตต่างๆ โดยรัฐบาลทุ่มเทงบประมาณที่เน้นหนักไปกับโรคที่เป็นแล้วเสียชีวิต เช่น มะเร็ง หัวใจ อุบัติเหตุ ฯลฯ ซึ่งในส่วนของความพิการที่เกิดจากความเจ็บป่วยหรือโรคจิตเวช มักได้รับงบประมาณในการพัฒนาระบบการให้บริการและพัฒนาบุคลากรน้อย ทั้งๆ ที่โรคจิตเวชก่อให้เกิดภาระต่อสังคมและเศรษฐกิจในระยะยาว ตลอดจนมีส่วนทำให้เกิดเป็นภาระโรคในลำดับต้นๆ ทั้งกับประเทศที่มีรายได้สูงและรายได้ปานกลาง
นอกจากนี้ ด้านการรักษาพยาบาล โรคจิตเวชบางประเภทไม่แสดงอาการที่ชัดเจน และผู้ที่เป็น ไม่คิดว่าตนเองป่วย ขาดความเข้าใจในตัวโรคและการรักษา จึงทำให้ผู้ป่วยและญาติไม่ต้องการหรือไม่สะดวกใจในการมารับการรักษา ซึ่งปัญหาจะเพิ่มมากขึ้นในโรคที่ต้องการการรักษาต่อเนื่องระยะยาว อีกทั้งยาจิตเวชมักมีอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลทั่วไป ไม่มีอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนหรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล รวมถึงยาหลายตัวมีราคาค่อนข้างแพง เป็นยานอกบัญชีและยาควบคุม ดังนั้นสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) และสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) จึงได้สนับสนุนให้ทีมผู้เชี่ยวชาญจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “ช่องว่างในการเข้าถึงบริการจิตเวชและภาระทางเศรษฐศาสตร์” โดยศึกษาปัญหาจิตเวชที่พบบ่อยและมีภาระโรคสูง เช่น โรคซึมเศร้า โรคจิต ปัญหาการดื่มสุราและสารเสพติด ฯลฯ รวมถึงศึกษาปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อปัญหาสุขภาพจิต ตลอดจนศึกษาสัดส่วนและปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยจิตเวชไม่สามารถเข้าถึงการให้บริการ เพื่อนำไปสู่การพัฒนารูปแบบการให้บริการผู้ป่วยที่สามารถลดช่องว่างในการเข้าถึงการให้บริการได้มากที่สุด
3 ปัจจัย..อุปสรรคการเข้าถึงบริการจิตเวช 1. ความต้องการในการเข้ารับบริการ : ระดับความต้องการในการใช้บริการจะสูงขึ้นในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น กลุ่มคนยากจน มีการศึกษาต่ำ กลุ่มแรงงานนอกระบบ การย้ายถิ่น กลุ่มที่ขาดข้อมูลหรือความรู้เรื่องปัญหาสุขภาพจิตต่างๆ กลุ่มที่มีปัญหาค่าใช้จ่ายในการรับบริการ สิทธิการรักษาพยาบาลที่ไม่ครอบคลุมปัญหาจิตเวชบางประเภท 2. ทรัพยากรมีจำกัด : ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับระบบการให้บริการมีอยู่อย่างจำกัด เช่น จำนวนจิตแพทย์ บุคลากรทางด้านสุขภาพจิต จำนวนสถานที่ที่ให้บริการ 3. ระบบการให้บริการ : เริ่มตั้งแต่การคัดกรองโรคจิตเวชต่างๆ การวินิจฉัยที่ถูกต้อง การดูแลรักษาเบื้องต้น การส่งต่อ ช่องทางการให้บริการ |
งานวิจัยเรื่องช่องว่างในการเข้าถึงบริการจิตเวชและภาระทางเศรษฐศาสตร์ เป็นงานวิจัยที่มีการวางแผนการเก็บข้อมูลเพื่อการศึกษาวิเคราะห์ต่อเนื่องระยะยาว โดยในปีแรกได้ลงพื้นที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 18 ปี ขึ้นไป ราว 6,000 คน ที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนอย่างน้อย 1 เดือน ในเขตเทศบาลเมืองคูคต และเทศบาลเมืองลำสามแก้ว จ.ปทุมธานี ในช่วงเดือน มิถุนายน - กันยายน 2558 โดยสัมภาษณ์ด้วยแบบสอบถามที่ประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ
(1) แบบสัมภาษณ์เพื่อการวินิจฉัยโรคจิตเวชตามเกณฑ์ DSM-IV ประกอบด้วยโรคซึมเศร้า โรคจิต ปัญหาจากการดื่มสุราและสารเสพติด (2) แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับประวัติการใช้บริการสุขภาพจิต สิทธิในการรักษาพยาบาล รายได้ ประวัติอาการจิตเวชต่างๆ ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา และสัมภาษณ์บุคลากรทางการแพทย์ เช่น จิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช เกี่ยวกับปัญหาอุปสรรค และแนวทางการลดช่องว่างในการเข้าถึงการให้บริการ
จากการศึกษาสะท้อนให้เห็นถึงข้อมูล อาทิ ปัญหาสุขภาพจิตที่พบบ่อย ได้แก่ ปัญหาที่เกิดจากการดื่มสุราและการเสพสารเสพติด ผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรงในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา เป็นผู้ที่ไม่มีรายได้หรือมีรายได้น้อย และ 80 % ของผู้ป่วยจิตเวชที่มีอาการปานกลางถึงรุนแรง ไม่มีประวัติการเข้ารับการรักษาใดๆ ซึ่งทีมวิจัยมีข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อการพัฒนาระบบ ไม่ว่าจะเป็น การจัดสรรงบประมาณเพื่อการดูแลและรักษาผู้ป่วยจิตเวชที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบทางด้านสังคมในระยะยาว ควรมีการศึกษาและพัฒนาระบบการคิดต้นทุนและการเบิกจ่ายของบุคลากรที่ร่วมดูแลผู้ป่วย โดยบุคลากรไม่จำเป็นต้องอยู่สังกัดเดียวกัน เช่น โรงพยาบาลสังกัดมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม สามารถให้คำปรึกษาหรือดูแลผู้ป่วยร่วมกับโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขได้ ทั้งนี้มาตรการในระยะยาวควรมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการผลิตจิตแพทย์ พยาบาลจิตเวช นักจิตวิทยา นักกระตุ้นพัฒนาการ และบุคลากรสุขภาพจิตอื่นๆ พร้อมกับการสนับสนุนสิ่งจูงใจให้กับจิตแพทย์ที่จบใหม่ได้ทำงานในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นระยะเวลาหนึ่ง
ด้วยเพราะหลายเหตุปัจจัยข้างต้นยังคงก่อตัวและดำเนินอยู่ ฉะนั้นการต่อยอดงานวิจัยที่มุ่งไปสู่การพัฒนารูปแบบการให้บริการสุขภาพจิตกับประชาชน เพื่อการคัดกรอง ป้องกัน และรักษาผู้ป่วยแต่เนิ่นๆ แบบองค์รวม โดยเชื่อมต่อการดูแลอย่างต่อเนื่องกับครอบครัวและชุมชน การปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม ตลอดจนการให้ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับโรคจิตเวช มีความจำเป็นที่ต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการพัฒนาระบบการบริการ รวมถึงการแก้ปัญหาสุขภาพจิต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย
ข้อมูลประกอบจาก : งานวิจัยเรื่อง "ช่องว่างในการเข้าถึงบริการจิตเวชและภาระทางเศรษฐศาสตร์" , สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้