4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

สวรส. หนุนงานวิจัย R2R แก้ปัญหาโรคไตเรื้อรัง พร้อมยกระดับเป็น R2R2P สู่นโยบายเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพ

          ในการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากงานประจำสู่งานวิจัย R2R ครั้งที่ 9 ที่จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) (สรพ.)  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล  กระทรวงสาธารณสุข  สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)  และสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.)  ร่วมกับภาคีเครือข่าย R2R  ระหว่างวันที่ 6-8 กรกฎาคม 2559 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพค ฟอรั่ม เมืองทองธานี  สวรส. ได้นำทีมนักวิชาการร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัวข้อเรื่อง “R2R2P : โจทย์วิจัย CKD” ซึ่งเป็นประเด็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่หยิบยกตัวอย่างงานวิจัย โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease : CKD) ที่สามารถขับเคลื่อนไปสู่การพัฒนาทั้งในเชิงปฏิบัติและเชิงนโยบายที่สามารถพัฒนาระบบการให้บริการและระบบสุขภาพได้อย่างเป็นรูปธรรม

          ผศ.ดร.จรวยพร  ศรีศศลักษณ์ ผู้จัดการงานวิจัย สวรส. กล่าวว่า โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ จำเป็นต้องมีองค์ความรู้หรืองานวิจัยเพื่อหาแนวทางการแก้ไขหรือพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อจัดการกับปัญหาดังกล่าว  ที่ผ่านมา สวรส. ได้รับมอบหมายจากเครือข่ายองค์กรบริหารงานวิจัยแห่งชาติ (คอบช.) ให้บริหารโครงการวิจัยมุ่งเป้าเพื่อตอบสนองความต้องการในการพัฒนาประเทศด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะในกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD)  และต้องการงานวิจัยเพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันและรักษาโรคไตเรื้อรัง ซึ่งหน่วยบริการทั้งในระดับปฐมภูมิ ทุติยภูมิ และตติยภูมิ สามารถใช้ข้อมูลที่มีอยู่ในงานประจำมาทบทวน วิเคราะห์ เพื่อทำงานวิจัยจากงานประจำ (Routine to Research : R2R) และนำข้อมูลที่ได้จากการวิจัยมาพัฒนาการให้บริการผู้ป่วยเพื่อชะลอภาวะไตเรื้อรังในระยะสุดท้ายได้ ที่ผ่านมา โรงพยาบาลคลองขลุงสามารถทำงานวิจัยและพัฒนาไปสู่ข้อเสนอเชิงนโยบาย (Research to Policy : R2P) ในการจัดตั้ง CKD clinic เป็นกรณีศึกษาที่น่าจะได้เรียนรู้ขั้นตอนการกำหนดนโยบายบนฐานความรู้เชิงประจักษ์

          ดร.นพ.วินัย  ลีสมิทธิ์ ผู้อำนวยการ รพ.คลองขลุง จ.กำแพงเพชร กล่าวว่า สถานการณ์โรคไตเรื้อรังของประเทศไทย พบว่าประมาณร้อยละ 70 ของประชากร ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคไตเรื้อรัง จนกระทั่งการดำเนินของโรคเข้าสู่ระยะที่ 4-5  ซึ่งคลินิกชะลอไตเสื่อมคลองขลุงโมเดล เป็นคลินิกที่มีการพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โดยทำงานในลักษณะสหวิชาชีพ ประกอบด้วยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว พยาบาล เภสัชกร นักโภชนาการ และนักกายภาพบำบัด จนกระทั่งเกิดเป็นโมเดลในปี 2555 จากนั้นในปี 2556-2559 ได้นำโมเดลสู่การปฏิบัติจริง  และจากการศึกษาวิจัยพบว่า ระบบฐานข้อมูลของผู้ป่วยมีความสำคัญอย่างมากสำหรับการติดตามและประเมินอาการ  เนื่องจากผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังต้องได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบันจึงได้มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ รพ.คลองขลุง โดยศูนย์ข้อมูลดังกล่าวสามารถส่งข้อมูลไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ได้  และเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยที่มารักษาในโรงพยาบาลชุมชนในพื้นที่ จ.กำแพงเพชร จำนวน 5 แห่ง และ รพ.สต. อีกกว่า 50 แห่ง เพื่อพัฒนาเป็นกำแพงเพชรโมเดลต่อไปในอนาคต

          “นอกจากนี้ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และผู้ดูแล (Care Giver) เป็นทีมที่มีบทบาทสำคัญในการติดตามอาการและให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วย  ในขณะเดียวกันประเด็นสำคัญในการป้องกันโรคไตเรื้อรัง คือ การดูแลให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้รับยาที่เหมาะสม การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง  ซึ่งผลการวิจัยเปรียบเทียบระหว่าง รพ.คลองขลุง และ รพ.ทรายทอง พบว่า ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาคลินิกโรคไตเรื้อรังของ รพ.คลองขลุง มีการรับประทานโปรตีน และเกลือน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ  แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยมีความเข้าใจต่อความรู้ที่ได้รับและนำไปปฏิบัติ จึงมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม  ทำให้คาดว่าคลินิกโรคไตเรื้อรังจะช่วยชะลอการเสื่อมของไตในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3-4 ไม่ให้เข้าสู่ระยะที่ 5 ได้ประมาณ 6-7 ปี  ทั้งนี้การพัฒนารูปแบบการคัดกรองผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังของคลินิกชะลอไตเสื่อมคลองขลุงโมเดล  ยังคงมีโจทย์วิจัยที่ท้าทายรออยู่อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาจากคลินิกชะลอไตเสื่อมคลองขลุงโมเดล ให้เป็นโมเดลระดับจังหวัดหรือประเทศ ควรมีลักษณะอย่างไร รูปแบบใด  การศึกษาในผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะที่ 1-2 ควรมีรูปแบบของคลินิกอย่างไร  การดูแลผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย ควรเป็นอย่างไร  สาเหตุใดที่ทำให้ผู้ป่วยไม่ให้ความร่วมมือในการล้างไต ฯลฯ ดร.นพ.วินัย กล่าว

          ด้าน ดร.นพ.วิชช์  เกษมทรัพย์ ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายคุณภาพ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  กล่าวว่า  ก่อนปี 2550 พบปัญหาเรื่องการบริการทดแทนไต ซึ่งมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายในการรักษาค่อนข้างสูง  หลักประกันสุขภาพภาครัฐให้การคุ้มครองไม่เท่าเทียมกัน คือสิทธิสวัสดิการข้าราชการและประกันสังคมครอบคลุมในสิทธิประโยชน์ แต่หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่ครอบคลุม  ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากต้องล้มละลายจากการจ่ายค่ารักษา  ดังนั้น คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ จึงมีมติเพิ่มบริการทดแทนไตเข้าในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าตั้งแต่ 1 มกราคม พ.ศ. 2551 (Peritoneal Dialysis first policy)  เพื่อให้เกิดการเข้าถึงบริการอย่างเสมอภาค โดยการล้างไตทางช่องท้องเป็นกิจกรรมที่ผู้ป่วยสามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้ที่บ้าน

          “อย่างไรก็ตาม PD first policy ก็พบปัญหาในการดำเนินการ จำเป็นต้องทำการเก็บข้อมูลวิจัยและประเมินการให้บริการเพื่อการปรับปรุงนโยบาย เช่น ภาระค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย ความถูกต้องและทันเวลาของการได้รับน้ำยาล้างไตที่ส่งถึงบ้านในกรณีที่ผู้ป่วยถือสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การปรับสภาพบ้านผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเพื่อป้องกันการติดเชื้อจากการล้างไตผ่านทางช่องท้อง ฯลฯ  โดยทิศทางของการพัฒนานโยบายเรื่องการแก้ปัญหาโรคไตเรื้อรัง นอกจากการให้บริการดูแลรักษาแล้ว  ควรให้ความสำคัญกับเรื่องการป้องกันและการส่งเสริมสุขภาพด้วยเช่นกัน” ดร.นพ.วิชช์ กล่าว

รูปภาพเพิ่มเติม
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้