ข่าว/ความเคลื่อนไหว
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงานตลาดนัดนวัตกรรมการแพทย์ไทย “ผลิตภัณฑ์จากแนวคิดสิ่งประดิษฐ์ด้านการแพทย์” โดยมี ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ผู้บริหารและข้าราชการระดับสูง ให้การต้อนรับ ณ อิมแพคฮอลล์ 9 อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี นนทบุรี เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2558
จากนั้น นายกรัฐมนตรีและคณะ ได้เดินเยี่ยมชมนิทรรศการ และบูธต่าง ๆ โดยในงานตลาดนัดนวัตกรรมการแพทย์ไทยในครั้งนี้ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) นำโดย นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ผอ.สวรส. พญ.วัชรา ริ้วไพบูลย์ ผอ.กลุ่มภารกิจ สวรส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ภาควิชาโสต ศอ นาสิก คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ให้การต้อนรับและร่วมนำเสนอผลงาน “เครื่องช่วยฟังไทย”
โดย “เครื่องช่วยฟังไทย” ดังกล่าว เป็นเครื่องช่วยฟังดิจิทัล P02-INTIMA ผลิตโดยนักวิจัยไทยจากเนคเทค ได้รับรองมาตรฐานสากล ราคา 7,000 บาท ซึ่งถูกกว่าเครื่องนำเข้าที่มีราคาประมาณ 13,500 บาท ช่วยผู้พิการทางการได้ยินเข้าถึงอุปกรณ์ช่วยฟัง เพิ่มคุณภาพชีวิต ซึ่ง สปสช. ได้สนับสนุนขยายนำร่องมอบเป็นสิทธิประโยชน์ให้กับผู้พิการการได้ยิน นำร่อง 1,000 เครื่อง ผ่าน โรงพยาบาล 13 แห่ง
ทั้งนี้ จากการวิจัยทางคลินิก ที่ทาง สวรส. ได้ร่วมมือกับเนคเทค และภาควิชาโสต ศอ นาสิก คณะแพทย์ศาสตร์ ม.ขอนแก่น ดำเนินการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิผลการใช้เครื่องช่วยฟังกับเครื่องช่วยฟังแบบกล่องที่ใช้สำหรับการสูญเสียการได้ยินระดับเดียวกัน ซึ่งนำเข้าจากต่างประเทศและมีใช้อยู่แล้วในท้องตลาดสองยี่ห้อ พบว่าให้ผลไม่แตกต่างกัน แต่มีข้อดีกว่าในเรื่องระบบเสียงและการมีระบบชาร์จไฟซ้ำได้ อีกทั้งยังพิสูจน์ว่าเมื่อให้บริการเครื่องช่วยฟังและมีการติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เครื่องช่วยฟังไทยมีราคาต่ำกว่าเครื่องนำเข้าที่มีอยู่ในท้องตลาด ทำให้งบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับการเบิกเครื่องช่วยฟังเพื่อให้บริการมีเหลือไปพัฒนากระบวนการบริการการติดตามดูแลต่อเนื่องได้อีกด้วย
จากผลการศึกษาวิจัยทางคลินิกดังกล่าวนี้เอง สวรส. จึงได้จัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายต่อ สปสช. เพื่อให้พิจารณานำเครื่องช่วยฟังดังกล่าวที่ใช้ชื่อว่า INTIMA ไปขยายผลใช้ในการให้บริการในเชิงระบบ โดย สปสช. ได้ตอบรับข้อเสนอและดำเนินโครงการนำร่องที่เปิดรับหน่วยบริการที่มีการให้บริการที่ได้มาตรฐานจำนวน 13 โรงพยาบาล ประกอบด้วย
1.โรงพยาบาลสวรรคประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ 2.โรงพยาบาลปทุมธานี จ.ปทุมธานี 3.โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จ. นนทบุรี 4.โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช จ.ลพบุรี 5.โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) จ.นครปฐม 6.โรงพยาบาลบ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร 7.โรงพยาบาลร้อยเอ็ด จ.ร้อยเอ็ด 8.โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 9.โรงพยาบาลขอนแก่น จ. ขอนแก่น 10.โรงพยาบาลอุดรธานี จ.อุดรธานี 11.โรงพยาบาลชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ 12.โรงพยาบาลตรัง จ.ตรัง 13.โรงพยาบาลรามาธิบดี กรุงเทพฯ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในตอนหนึ่งด้วยว่า งานด้านการแพทย์และสาธารณสุข เป็นงานที่มีความสำคัญกับประเทศไม่แพ้งานด้านอื่นๆ ประเทศไทยจึงต้องเพิ่มขีดความสามารถในการวิจัยและพัฒนาทั้ง วัคซีนป้องกันโรค รวมถึงยาและอุปกรณ์ที่เป็นนวัตกรรมทางการแพทย์ด้วย หากพวกเราทุกฝ่ายสามารถร่วมมือร่วมใจ ร่วมพัฒนา “ไทยวิจัย ไทยผลิต ไทยใช้ ไทยยั่งยืน” ประเทศก็จะมีความมั่นคงทางด้านการแพทย์ไม่แพ้ชาติใดในโลก
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้