4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

สวรส. เปิดรับฟังความคิดเห็นภาคี ร่วมเสนอแนวทางปรับยุทธ์ 5 ปี พร้อมเคลื่อนรับสถานการณ์สุขภาพในอนาคต

          สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ สวรส.”  พร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ  อาทิ นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล (ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข)  นพ.วินัย สวัสดิวร  (เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ)  พร้อมด้วยกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สวรส. และผู้ทรงคุณวุฒิในระบบสุขภาพ  เช่น  นพ.สุภกร บัวสาย  รศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา  คุณนวพร เรืองสกุล  ศ.พญ.ดวงมณี เลาหประสิทธิพร  ร่วมกับผู้แทนจากหน่วยงานภาคีสุขภาพและองค์กรวิจัยที่เกี่ยวข้อง อาทิ  สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ  สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  สำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย  กระทรวงศึกษาธิการ  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฯลฯ  โดยมี นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานอนุกรรมการยุทธศาสตร์ สวรส. เป็นประธานการประชุม เมื่อวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา ณ อาคารสุขภาพแห่งชาติ

          นพ.สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ ประธานอนุกรรมการยุทธศาสตร์ สวรส. กล่าวว่า  “การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ สวรส. ครั้งนี้ เป็นการทบทวนเพื่อพัฒนาแผนยุทธศาสตร์เดิมที่มีอยู่  โดยเป็นแผน 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ. 2558 - 2562)   ที่มาร่วมกันมองบนฐานการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์  ด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคีการทำงาน  ผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย  ตลอดจนกลุ่มเป้าหมายที่เกี่ยวข้อง  ทั้งนี้เพื่อตอบสนองการใช้ประโยชน์ของกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนตอบสนองต่อสถานการณ์ปัญหาสุขภาพในอนาคตอย่างรอบด้านมากขึ้น  
ทั้งนี้ จากข้อมูลสถานการณ์ทางสุขภาพ พบว่า  แม้ว่าขนาดประชากรไทยค่อนข้างจะคงตัวอยู่ที่ประมาณ 65 ล้านคน แต่โครงสร้างอายุประชากรเปลี่ยนไปอย่างมาก ในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา  ประชากรไทยเปลี่ยนโครงสร้างจากประชากรวัยเด็กมาเป็นประชากรสูงวัยแล้ว  โดยเมื่อปี  2503 ประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มีอยู่ไม่ถึงร้อยละ 3 แต่ปัจจุบันมีมากถึงร้อยละ 7.9 หรือมีจำนวนประมาณ 5 ล้านคน ประชากรวัยเด็กต่ำกว่า 15 ปี ซึ่งเคยมีอยู่มากถึงร้อยละ 40 ในปี 2503 ได้ลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียงร้อยละ 20 ในปัจจุบัน

          นอกจากนั้น งานวิจัยจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า  ปัจจุบัน  ประชากรไทยมีชีวิตยืนยาวขึ้น โดยมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต 20 ปีข้างหน้า คาดการณ์ว่า 1 ใน 4 ของประชากรไทย (หรือ ร้อยละ 25.1) จะเป็นผู้สูงอายุที่มีวัย 65 ปีขึ้นไป โดยจะมีเด็กเพียงประมาณร้อยละ 14.4 วัยแรงงานประมาณร้อยละ 60.5 ประกอบกับพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม ยังส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมือง การย้ายถิ่น ปัญหาการกระจายรายได้ เกิดกลุ่มประชากรผู้ด้อยโอกาส กลุ่มแรงงานข้ามชาติมากขึ้น จึงต้องมีการวางแผนแนวทางการส่งเสริมสุขภาพ การจัดบริการสุขภาพที่เหมาะสม
ในด้านความเจ็บป่วยและการเสียชีวิตของประชาชน  พบว่า  เปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยเกิดจากโรคติดเชื้อที่ป้องกันได้ แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่เกิดจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย และพบความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะวิกฤติมากขึ้น ทั้งจากสาธารณภัยต่างๆ และการระบาดของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่อุบัติซ้ำ

          นอกจากนั้น  การเร่งเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบริการภาครัฐกลายเป็นประเด็นสำคัญ  ซึ่งภายหลังจากที่ประเทศมีนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า  ซึ่งทำให้ประชาชนมีโอกาสเข้าถึงระบบบริการสุขภาพได้เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 99.4 ช่วยลดภาวะล้มละลายจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนยากจนได้อย่างมาก  แต่ในภาพรวมของประเทศยังประสบปัญหาค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้น  โดยปี พ.ศ.2550-2554 พบว่าค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพเพิ่มจาก 300,850 ล้านบาท  เป็น 434,207 ล้านบาท  และคิดเป็นร้อยละ 4.1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในปี พ.ศ.2555 ในขณะที่ ทรัพยากรสาธารณะเพื่อกิจการด้านสาธารณสุขมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะทรัพยากรและงบประมาณจากส่วนกลางมีจำกัด ผนวกกับปัญหาการขาดแคลนบุคลากร จึงเป็นความท้าทายให้ระบบสุขภาพของประเทศต้องมีแนวทางที่เหมาะสมในการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ คุ้มค่า และความเสมอภาคในการรับบริการ รวมถึงการจัดการด้านกำลังคน

          ทั้งนี้ด้านทิศทางและแนวโน้มสำคัญของประเทศ  เช่น  การกระจายอำนาจสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับบทบาทกลไกภาครัฐในการบริหารจัดการระบบสุขภาพ   นโยบายที่สำคัญของกระทรวงสาธารณสุขที่สนับสนุนการวิจัยสุขภาพอย่างครบวงจร  นโยบายที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบสุขภาพ   ตลอจนนโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติฉบับที่ ๘ (พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๙) ของสภาวิจัยแห่งชาติ  โดยส่วนหนึ่งมุ่งเน้น  “การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาและการฟื้นฟูสุขภาพ” เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและระบบการจัดการสาธารณสุขดีขึ้น และมีความมั่นคงด้านสุขภาพของประเทศ
นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ประธานคณะทำงานทบทวนแผนยุทธศาสตร์ สวรส. กล่าวว่า “การนำเสนอร่างแผนยุทธศาสตร์ สวรส. ในวันนี้  เป็นร่างที่คณะทำงานฯ ได้ช่วยกันพัฒนาจากการทบทวนและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์  ตลอดจนศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เพื่อใช้เป็นร่างตั้งต้นในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  โดย(ร่าง)แผนยุทธศาสตร์ สวรส. ปี 2558 - 2562  นี้  มองถึงการพัฒนาความเข้มแข็งโดยเริ่มที่ตัวองค์กร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของการเปลี่ยนแปลงก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อการเคลื่อนภารกิจการวิจัยระบบสุขภาพของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป  โดยการจัดทำร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ ได้มีการทบทวน 1) สถานการณ์และปัจจัยสำคัญต่อการกำหนดยุทธศาสตร์   2) การดำเนินงานที่ผ่านมาของ สวรส.  3) ช่องว่างความรู้ และขอบเขตงานวิจัยระบบสุขภาพ  4) ประเด็นความท้าทาย  5) การวิเคราะห์ SWOT  6)  บทบาทของสวรส. ในอนาคต   โดยมีฐานข้อมูลจากงานวิจัยและข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น  นโยบายกระทรวงสาธารณสุข  ยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติฉบับที่8   บัญชีรายจ่ายสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2555  งานวิจัยภาพอนาคตระบบสุขภาพ  มองไกลวิจัยระบบสุขภาพ  ข้อเสนอการปฏิรูป สวรส. เป็นต้น”

          ทั้งนี้ จากข้อมูลสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงและปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดยุทธศาสตร์สวรส.  ตลอดจนการนำเสนอร่างยุทธศาสตร์ สวรส. ปี 2558 - 2562  ผู้เข้าร่วมประชุมได้ร่วมให้ความเห็นเพื่อการพัฒนาแผนฯ อย่างกว้างขวาง

          นพ.ศิริวัฒน์ ทิพย์ธราดล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  กล่าวว่า “ที่ผ่านมา สวรส. เป็นองค์กรที่สร้างผลงานจากงานวิจัยเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคม  ซึ่งยังมีความท้าทายใหม่ๆ อีกมาก ที่ สวรส. ยังต้องดำเนินการวิจัยเพื่อรองรับปัญหาและพัฒนาระบบสุขภาพ  ประเด็นที่น่าสนใจ เช่น  การกระจายอำนาจโดยใช้ประเด็นทางสุขภาพเป็นตัวนำ  การศึกษาโครงสร้างบทบาทที่เหมาะสมของกลไกที่เกี่ยวข้องทางสุขภาพ   โรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุสำคัญของความสูญเสียในอันดับต้นๆของประเทศ  เทคโนโลยีทางการแพทย์ใหม่ๆ  ระบบยาตั้งแต่เรื่องราคา การเข้าถึง กฎระเบียบไปจนถึงรูปแบบที่สมดุลของผู้ซื้อ/ผู้ใช้/หรือธุรกิจเกี่ยวข้องที่จะช่วยลดผลกระทบของ 3 กองทุนสุขภาพ

          ด้าน นพ.วินัย  สวัสดิวร เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า “การที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนสำคัญของระบบสุขภาพ  ส่วนหนึ่งมาจากการวาง Position ขององค์กรให้เป็นองค์กรที่มีอิทธิพลต่อระบบ  โดยต้องพิจารณาถึงการมีกลไกการทำงานที่สนับสนุนการเคลื่อนของระบบได้อย่างไร  เช่น  บทบาทของการวิจัยตั้งแต่การ Implement จนถึงขั้นการประเมินผลนโยบายสำคัญๆ ทางสุขภาพ เพื่อการพัฒนาแนวทางการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิภาพต่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง”
ศ.พญ.ดวงมณี เลาหประสิทธิพร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า “สวรส. ต้องชัดเจนในบทบาท  โดยสิ่งที่ สวรส. อยากเห็นซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจในเชิงเป้าหมาย คือ การสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพของประเทศ  โดยใช้จุดแข็งของสวรส. คือการบริหารเครือข่ายการวิจัย”

          คุณนวพร เรืองสกุล ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์ สวรส.  เพิ่มเติมว่า “สวรส. ควรเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบสุขภาพของประเทศ  ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วต้องการเห็นผลลัพธ์การทำงานวิจัยที่ส่งผลทั้งต่อนโยบาย  ต่อกลไกในระบบสุขภาพอย่างเช่น สปสช.  รวมทั้งผลลัพธ์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนของประเทศด้วย  ทั้งนี้ ผู้บริหารจะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการจัดองค์กรให้เดินไปอย่างไร  การใช้เครือข่าย  การบริหารจัดการหรือทำงานวิจัยเอง  การกำกับทิศทางเป้าหมายและผลผลัพธ์งานวิจัย  การสร้างนักวิจัยและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดความต้องการทำงานวิจัยกับ สวรส. เป็นต้น”
ทั้งนี้  สวรส. ได้รวบรวมความคิดเห็นต่างๆ เพื่อการพัฒนา(ร่าง) แผนยุทธศาสตร์สวรส.ปี 2558-2562  ต่อไป  โดยจะจัดให้มีกระบวนการประชาพิจารณ์ที่กว้างขวางขึ้น  และพิจารณาสรุปแผนยุทธศาสตร์สวรส.ปี 2558-2562  สู่ฉบับสมบูรณ์อีกครั้ง โดยคณะกรรมการ สวรส.  ภายในเดือน มีนาคม 2558 นี้     

รูปภาพเพิ่มเติม
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้