4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

นโยบายการวิจัยแห่งชาติ

          ในยุคของเศรษฐกิจที่ได้ชื่อว่าเป็น เศรษฐกิจฐานความรู้ระบบเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตได้ด้วยอาศัยความรู้ที่สร้างขึ้นในประเทศ ซึ่งการสร้างองค์ความรู้ใหม่ จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการศึกษาและวิจัยเป็นพื้นฐานที่สำคัญ ดังนั้น ระบบการวิจัยแห่งชาติ จึงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการพัฒนาเศรษฐกิจฐานความรู้
          หากเอสเอ็มอี สนใจที่จะได้ผลงานการวิจัยใหม่ๆ เพื่อนำมา พัฒนาธุรกิจของตนเอง จำเป็นที่จะต้องสนใจและสืบเสาะให้ได้ว่า มีใคร หรือหน่วยงานใดบ้าง ที่ทำการวิจัยในเรื่องนั้นๆ อยู่ และจะสามารถ ติดต่อนำผลงานวิจัยมาใช้กับธุรกิจเอกชนได้อย่างไร
          อาจจะมีหลายคนที่ยังไม่ทราบว่า ระบบการวิจัยของไทย มีศูนย์กลางอยู่ที่ สภาวิจัยแห่งชาติ ซึ่งมีสำนักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติ (วช.) ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ ทำหน้าที่บริหารจัดการงานวิจัย โดยการให้ทุนอุดหนุนงานวิจัยต่างๆ แก่หน่วยงานและนักวิจัย
          ในระยะเริ่มแรก งานวิจัยส่วนใหญ่ จะเป็นงานวิจัยด้านเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการวิจัยและนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในภาครัฐเท่านั้น
          ต่อมา ได้เริ่มมีการขยายตัวของมหาวิทยาลัย ทำให้เกิดงานวิจัยเพิ่มขึ้น มีการผลิตนักวิจัยป้อนให้หน่วยงานปฏิบัติการวิจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในหน่วยงานราชการต่างๆ ในระดับกระทรวง ควบคู่ไปกับหน่วยปฏิบัติการ วิจัยในมหาวิทยาลัย
          ระบบการวิจัยของไทย ได้เริ่มขยายตัวมากขึ้นตั้งแต่ปี 2534 เป็นต้นมา โดยเกิดพระราชบัญญัติจัดตั้งหน่วยงานวิจัยขึ้นอีกหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวสร.) สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) เป็นต้น
          หน่วยงานวิจัยเหล่านี้ ทำหน้าที่ให้ทุนการวิจัยเฉพาะด้านต่างๆ ที่มีขอบข่ายชัดเจนมากขึ้น หรือในหลายหน่วยงานก็จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานปฏิบัติการวิจัยด้วยตัวเองด้วย
          จะเห็นได้ว่า การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการลงทุนด้านการวิจัยของภาคเอกชน ยังมีอยู่น้อยมาก โดยการวิจัยของภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวิจัยที่มีผลโดยตรงในด้านเศรษฐกิจ มักจะเกิดขึ้นในธุรกิจภาคเอกชนขนาดใหญ่เพียงน้อยรายเท่านั้น
          ปัญหาส่วนใหญ่ของระบบการวิจัยของไทย ได้แก่ การไม่สามารถนำผลงานวิจัยที่ได้ลงทุนไปนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกิดแนวคิดของการปฏิรูประบบวิจัยของประเทศขึ้นในปี 2550
          โดยกำหนดเป้าหมายให้เกิดระบบวิจัยที่มีความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในระบบการวิจัยให้มากขึ้นเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อน ในการพัฒนาประเทศ ผ่านการสร้างความเข้มแข็งให้กับ ประชาชน ภาคเอกชน นักวิจัย และหน่วยงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำความต้องการของผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยเป็นศูนย์กลาง สอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาประเทศ ยกระดับขีดความสามารถในการวิจัยให้แข่งขันได้ในระดับนานาชาติ และเพิ่มมูลค่าผลงานวิจัยหรือลดการนำเข้าและพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
          ปัจจุบัน ระบบการวิจัยของประเทศไทยในภาพรวมอยู่ภายใต้ นโยบายและยุทธศาสตร์การวิจัยแห่งชาติ ฉบับที่ 8 พ.ศ. 2555-2559
          โดยมีวิสัยทัศน์การวิจัยของชาติ ชี้แนวทางให้ ประเทศไทยมีและใช้งานวิจัยที่มีคุณภาพ เพื่อการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน
          ภายใต้พันธกิจการวิจัยของชาติ ที่จะพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถในการวิจัยของประเทศให้สูงขึ้นและสร้างฐานความรู้ที่มีคุณค่า สามารถประยุกต์และพัฒนาวิทยาการที่เหมาะสมและแพร่หลาย รวมทั้ง ให้เกิดการเรียนรู้และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์และสาธารณะ ตลอดจนเกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยใช้ทรัพยากรและเครือข่ายวิจัยอย่างมีประสิทธิภาพที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม
          นำไปสู่ยุทธศาสตร์การวิจัยของชาติในช่วง 5 ปีนี้ จำนวน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่
          1. การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาสังคม มุ่งเน้นการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา ระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี การสร้างความเข้มแข็งและภูมิคุ้มกันของท้องถิ่นและสังคม การพัฒนาศักยภาพของเยาวชน ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการและสูงอายุ และการวิจัยที่มีความจำเป็นต้องการผลงานวิจัยในพื้นที่
          2. การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจมุ่งเน้นการวิจัยเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางการเกษตร การพัฒนาและจัดการองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตทางอุตสาหกรรมและบริการ โดยคำนึงถึงบทบาทการแข่งขันของประเทศภายใต้การเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และโลก
          3. การอนุรักษ์ เสริมสร้าง และพัฒนาทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
          มุ่งเน้นการวิจัยเกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนและสังคม การวิจัยเกี่ยวกับการรองรับและฟื้นฟูหลังภัยธรรมชาติหรือ ภัยพิบัติในระดับภูมิภาคและท้องถิ่น
          4. การสร้างศักยภาพและความสามารถเพื่อการพัฒนานวัตกรรมและบุคคลากรทางการวิจัย มุ่งเน้นการวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้และต่อยอดภูมิปัญญาของประเทศและสาธารณะ เสริมสร้างศักยภาพการวิจัยในระดับภูมิภาค
          5. การปฏิรูประบบวิจัยของประเทศเพื่อการบริหารจัดการความรู้ ผลงานวิจัย นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ทรัพยากร และภูมิปัญญาของประเทศ สู่การใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และสาธารณะ ด้วยยุทธวิธีที่เหมาะสมที่เข้าถึงประชาชนและประชาสังคมอย่างแพร่หลาย มุ่งเน้นการวิจัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลองการบริหารจัดการด้านการวิจัยของประเทศที่มีความจำเป็นต้องการผลงาน วิจัยในพื้นที่
          ข้อมูลที่นำเสนอ มีแหล่งอ้างอิงจากเอกสารที่ วช. เป็นผู้เผยแพร่ ไม่ได้เกิดจากการ "มโน" หรือ เป็นความฝันของผู้ใด ทั้งสิ้น !!!!
          ดร.เรวัต ตันตยานนนท์ เชี่ยวชาญด้านธุรกิจเอสเอ็มอีจบปริญญาโท สำหรับผู้บริหารรุ่นที่ 13 คณะพาณิชยศาสตร์
          และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์"บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
          ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่สังกัด"

เรวัต ตันตยานนท์

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557 หน้า 5

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้