4th Floor, National Health Building 88/39 Tiwanon 14 Road Taradkwan, Muang District Nonthaburi 11000
Font Size
-
+
color contrast
C
C
C
Search
เมนู

สธ. ผนึกภาคี เคลื่อนนโยบายยาแห่งชาติ “ใช้ยาสมเหตุผล” นำร่อง 57 รพ.

           กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง “การพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล” โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานประกันสังคม สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (สรพ.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมบัญชีกลาง และกลุ่มสถาบันแพทย์ศาสตร์แห่งประเทศไทย

          การ MOU ดังกล่าวจัดขึ้นหลังการจัด “ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล” ที่มีโรงพยาบาลนำร่องจำนวน 57 แห่ง เข้าร่วมโครงการ ระหว่างวันที่ 29-30 ตุลาคม 2557 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค รัชดาภิเษก

          จากรายงานขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า การใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผลมีมากกว่าร้อยละ 50 ของการใช้ยา แนวโน้มเช่นนี้จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงจากผลข้างเคียงและอันตรายจากยา รวมถึงการสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจ สำหรับประเทศไทย ในปี 2553 พบว่า มูลค่าการบริโภคยาของคนไทยสูงถึง 1.4 แสนล้านบาท และพบการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุผลในทุกระดับ

          ดังนั้น นโยบายแห่งชาติด้านยา พ.ศ.2554 และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ.2555-2559 จึงได้กำหนดยุทธศาสตร์ 4 ด้าน คือ 1.การเข้าถึงยา 2.การใช้ยาอย่างสมเหตุผล 3.การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตยาและชีววัตถุ และสมุนไพร 4.การพัฒนาระบบการควบคุมยาเพื่อประกันคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของยา สำหรับยุทธศาสตร์ในด้านการใช้ยาอย่างสมเหตุผล “คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ” ได้ตั้งคณะอนุกรรมการฯ โดยมี ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล เป็นประธานในการขับเคลื่อนงานดังกล่าวขึ้นมา

          นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาการใช้ยาในประเทศไทย เป็นปัญหาใหญ่ที่หลายฝ่ายรับรู้กันมานานแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าแรงขับเคลื่อนเรื่องนี้อ่อนกำลังมาก แม้รัฐบาลในหลายๆยุคจะมีนโยบายในการแก้ไขปัญหา แต่ก็พบว่ามีปัญหาการนำไปปฏิบัติที่ต่อเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ฉะนั้นการเริ่มต้นที่ในโรงพยาบาลนำร่องถือเป็นการสร้างเครือข่ายในแนวทางแบบป่าล้อมเมือง ที่จะช่วยพัฒนาความมั่นคงของระบบยาในอนาคต

          “สอดคล้องแนวทางการดำเนินนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาความมั่นคงของระบบยา วัคซีน เวชภัณฑ์ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนของกลไกการพัฒนาระบบยา ซึ่งเป็นการสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพให้กับประชาชน” นพ.สุรเชษฐ์ กล่าว

          สำหรับกุญแจที่สำคัญที่ถือเป็นแนวทางปฏิบัติสำคัญของการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลนั้น ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แทนอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล ได้เคยนำเสนอผ่านเวทีประชุมวิชาการวิจัยระบบสุขภาพ “วิจัย...เปลี่ยนชีวิต” จัดโดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข โดยมีหลักสำคัญ 6 ประการ คือ P-L-E-A-S-E ประกอบด้วย...

          1.ตัว P คือ PTC (Pharmacy and Therapeutics Committee) หรือคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบําบัด ซึ่งต้องการสร้างเกณฑ์มาตรฐานการปฏิบัติงานตามกรอบองค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่อเป็นตัวหลักนำไปสู่การใช้ยาอย่างสมเหตุผล  2.ตัว L คือ Label หรือฉลากยา เอกสารที่ติดบนซองยาที่ให้ข้อมูลอย่างเพียงพอแก่ผู้ใช้ ยกตัวอย่างเช่น ยา Antibiotics โรงพยาบาลบางแห่งเขียนว่า “ยาแก้อักเสบ” สร้างความเข้าใจผิดว่า “อาการอักเสบ” หรือ “ติดเชื้อไวรัส” ก็กินยานี้ได้ ซึ่งควรเขียนว่า “ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย” 3.ตัว E คือ Essential tools หรือเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เช่น ระบบที่เภสัชกรตรวจสอบการสั่งยาของแพทย์และท้วงติงได้ เพื่อป้องกันการสั่งยาไม่สมเหตุผล 4.ตัว A คือ Awareness การสร้างความตระหนักรู้แก่บุคคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วย 5.ตัว S คือ Specail population ว่าการใช้ยาในคนสูงอายุ เด็ก สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร และผู้ป่วยกลุ่มพิเศษดีพอแล้วหรือยัง และ 6.ตัว E คือ Ethics คือ จริยธรรมในการสั่งใช้ยา

          “โครงการนี้ จะเป็นต้นแบบการแก้ไขปัญหายาในโรงพยาบาล โดยจะแสดงให้เห็นว่าการใช้ยาอย่างสมเหตุผลเป็นอย่างไร ขณะนี้มีโรงพยาบาลเข้าร่วมโครงการ 50-60 แห่ง จากนั้นจะเน้นการพัฒนาระบบ และการตระหนักรู้แก่ทุกคนที่อยู่ในวงจรการใช้ยา” ผศ.นพ.พิสนธิ์ กล่าว

          ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และประธานอนุกรรมการส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล เผยว่า เราวางแผนเอาไว้ว่าในระยะ 1 ปีแรกนี้ หลังจากที่ได้ให้แนวทางในการปฏิบัติกับ 57 โรงพยาบาลนำร่องไปแล้ว ทางคณะอนุกรรมการฯ จะทำการติดตาม เช่น การเก็บข้อมูลด้านค่าใช้จ่ายด้านยา ผลการรักษาเพื่อนำผลการดำเนินงานมาวิเคราะห์ประเมินกันอีกครั้งว่าออกมาเป็นอย่างไร

           “โดยในการตกลงความร่วมมือครั้งนี้ ยังมีการสนับสนุนด้านการพัฒนาคุณภาพของระบบบริการสุขภาพ โดยใช้ตัวชี้วัดในการประเมินตนเองเรื่องการใช้ยาอย่างสมเหตุผลให้เป็นหนึ่งในมาตรฐานเพื่อรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ซึ่งถือเป็นมาตรการกึ่งบังคับไปในตัว”

          ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าวด้วยว่า เนื่องจากระบบสุขภาพเป็นระบบที่ใหญ่ การจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่สามารถทำหรือบังคับใช้ได้ในทันที อย่างน้อยถ้าเรามีโครงการนำร่องโดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน แล้วนำผลการปฏิบัติมาวิเคราะห์ปรับแนวทางค่อยๆ หาวิธีการ แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมมีมาตรฐาน เชื่อว่าในอนาคตเราจะสามารถนำมาใช้ปฏิบัติในภาพใหญ่หรือระดับนโยบายของประเทศได้คล่องตัวกว่า โครงการนี้จึงถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของการสร้างระบบที่เข้มแข็ง

           ทางด้าน ศ.นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ผู้อำนวยการ สวรส. กล่าวว่า สวรส. พร้อมที่จะพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการจากงานวิจัย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้โครงการฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน

           ทั้งนี้ ข้อมูลสนับสนุนจากผลการศึกษาถอดบทเรียนการดำเนินมาตรการส่งเสริมและกำกับการใช้ยาในโรงพยาบาลต้นแบบ 3 แห่ง ประกอบด้วย รพ.ลำปาง รพ.ตำรวจ รพ.ศิริราช ช่วงปี 2554 โดยสำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก.) เครือ สวรส. รายงานว่า การกำกับและติดตามการใช้ยา เป็นส่วนสำคัญทำให้เกิดความตระหนักถึงการใช้ยาอย่างสมเหตุผลมากขึ้น นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายยาได้เป็นจำนวนมาก ยังช่วยอุดรอยรั่วจากการใช้ยา และป้องกันการทุจริตได้อีกทาง.

รูปภาพเพิ่มเติม
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้