ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ขนาดตัวอักษร
-
+
ความตัดกันของสี
C
C
C
icon-lang-thภาษาไทย
ค้นหา
เมนู

กรอบงานวิจัย

เลือกดูรายละเอียดตามปีงบประมาณทุนวิจัย

Download PDF

กรอบวิจัยฯ ปีงบประมาณ 2569

(เปิดรับข้อเสนอ 17 ก.พ. - 30 เม.ย. 68)

1. หลักการและเหตุผล 
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ด้านระบบสุขภาพที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาด้านระบบสุขภาพในเชิงระบบได้อย่างครอบคลุม และสามารถนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ได้ทันต่อบริบทและสถานการณ์ รวมถึงความท้าทายในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อปัญหาสุขภาพของประชากรไทยอย่างรวดเร็ว ผันผวน และซับซ้อนมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ภายใต้ขอบเขตการวิจัยที่มุ่งเน้นการยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศให้พร้อมรับโรคระบาดระดับชาติโรคอุบัติใหม่ และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) รวมถึงมุ่งเน้นการสร้างความสามารถและยกระดับการให้บริการจีโนมิกส์และการแพทย์แม่นยำเพื่อให้เกิดบริการการรักษาที่มีความแม่นยำสูง โดยมีความเชื่อมโยงกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) การวิจัยที่สนับสนุนนโยบายสาธารณะ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติและประเด็นการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุขในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวนโยบายด้านสุขภาพที่เหมาะสม การสร้างแนวปฏิบัติที่ดี การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลสุขภาพ การป้องกันการเกิดโรค และลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในทุกช่วงวัยของประชากร เพื่อให้ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป

2. วัตถุประสงค์

2.1 สนับสนุนการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อมุ่งเน้นการยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศให้สามารถลดภาระโรคที่สำคัญของประเทศ (National Burden of Disease: BOD) และรับมือกับโรคระบาดระดับชาติ/โรคอุบัติใหม่ อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล โดยการใช้ผลงานวิจัย องค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่ครอบคลุมการพัฒนาระบบบริการเพื่อยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพ การพัฒนาระบบสุขภาพในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพและภัยสุขภาพ และการพัฒนาความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ
2.2 สนับสนุนการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันภายใต้แผนงานวิจัย   จีโนมิกส์ประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการสร้างความสามารถและยกระดับการให้บริการจีโนมิกส์และการแพทย์แม่นยำเพื่อให้เกิดบริการการรักษาที่มีความแม่นยำสูง

3. ขอบเขตการดำเนินงาน 
สวรส. ประกาศรับข้อเสนอโครงการวิจัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ภายใต้ 4 แผนงาน ได้แก่ 1) แผนงานพัฒนาระบบบริการเพื่อยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพ 2) แผนงานพัฒนาระบบสุขภาพในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพและภัยสุขภาพ 3) แผนงานพัฒนาความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ และ        4) แผนงานสร้างความสามารถและยกระดับการให้บริการจีโนมิกส์ และการแพทย์แม่นยำเพื่อให้เกิดบริการการรักษาที่มีความแม่นยำสูง  โดยมีความเชื่อมโยงกับแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) วัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลัก และกรอบการวิจัย ในแต่ละแผนงานวิจัยของ สวรส. ดังนี้

แผนด้าน ววน. P10 (S2) ยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศให้พร้อมรับโรค
ระบาดระดับชาติและโรคอุบัติใหม่ 
   แผนงานย่อย 
     N15 (S2P10) พัฒนาระบบบริการเพื่อยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพ
     N16 (S2P10) พัฒนาระบบสุขภาพในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพและภัยสุขภาพ 
     N17 (S2P10) พัฒนาความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ
     หมายเหตุ  S=ยุทธศาสตร์, P=แผน, N=แผนงานย่อย (Non flagship)
 
วัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลัก (Objectives and key results: OKRs)

Objective     ยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพของประเทศให้สามารถลดภาระโรคที่สำคัญของประเทศ (National Burden of Disease: BOD) และรับมือกับโรคระบาดระดับชาติ/โรคอุบัติใหม่ อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล โดยการใช้ผลงานวิจัย องค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรม

Key result

KR1 จำนวนระบบสุขภาพแบบบูรณาการระดับประเทศและ/หรือพื้นที่ (Integrated Health Services: IHS) ที่ใช้ผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมเชิงระบบ และนวัตกรรมสมัยใหม่ ซึ่งแสดงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการลดภาระโรคที่สำคัญของประเทศ (National Burden of Disease: BOD) ได้แก่ 1) โรคติดเชื้อ 2) โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 3) การบาดเจ็บ และการรับมือกับโรคระบาดระดับชาติ/ โรคอุบัติใหม่

KR2 จำนวนกลุ่มเครือข่ายความร่วมมือ (Consortium) ที่ประกอบด้วยเครือข่ายสถาบัน/ศูนย์วิจัยในสถาบันอุดมศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน ซึ่งกระจายในทุกภูมิภาค และมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโรคระบาดระดับชาติ/โรคอุบัติใหม่ และภาระโรคที่สำคัญของประเทศ (National Burden of Disease: BOD) ที่แสดงประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการช่วยเหลือ/สนับสนุนประเทศและ/หรือพื้นที่ให้สามารถรับมือกับโรคระบาดระดับชาติ/โรคอุบัติใหม่ และลดภาระโรคที่สำคัญของประเทศ โดยใช้ผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมเชิงระบบ และนวัตกรรมสมัยใหม่ เพิ่มขึ้น

KR3 จำนวนเทคโนโลยี นวัตกรรมเชิงระบบและนวัตกรรมสมัยใหม่ที่ถูกนำไปใช้และเกิดผลสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลในการรับมือกับโรคระบาดระดับชาติ/ โรคอุบัติใหม่ และการลดภาระโรคที่สำคัญของประเทศ

KR4 จำนวนนโยบายและมาตรการที่ได้ประกาศใช้ ในระดับประเทศและ/หรือพื้นที่ ซึ่งพัฒนาโดยใช้การวิจัย และแสดงผลสำเร็จในการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการรับมือกับโรคระบาดระดับชาติ/ โรคอุบัติใหม่ และลดภาระโรคที่สำคัญของประเทศ (National Burden of Disease: BOD) เพิ่มขึ้น

KR5 จำนวนประชาชนที่ได้รับบริการจากระบบสุขภาพแบบบูรณาการระดับประเทศ และ/หรือ พื้นที่ ที่เพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ในการรับมือกับโรคระบาดระดับชาติ/ โรคอุบัติใหม่ และลดภาระโรคที่สำคัญของประเทศ (National Burden of Disease: BOD) โดยใช้ผลงานวิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรมเชิงระบบ และนวัตกรรมสมัยใหม่ 

3.1 กรอบการวิจัยแผนงานพัฒนาระบบบริการเพื่อยกระดับความมั่นคงทางสุขภาพ

แผนงานวิจัย กรอบการวิจัย/ประเด็นวิจัย
3.1.1 การเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการสุขภาพด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ 1. การวิจัยพัฒนาวัสดุอุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่เป็นความต้องการของประเทศ มีมูลค่าการนำเข้าสูง มีปริมาณการใช้จำนวนมาก โดยมุ่งเน้นระยะการวิจัย (Phase) ที่ต่อยอดการพัฒนาต้นแบบหรือขยายผลการใช้งานเพื่อประเมินประสิทธิภาพ ความปลอดภัย หรือการนำไปใช้จริง (Pragmatic use) สามารถขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อนำไปใช้งานในระบบ หรือเชิงพาณิชย์
2. การพัฒนา Platform เทคโนโลยีทางการแพทย์ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการตอบสนองและแก้ไขปัญหา เพื่อเพิ่มโอกาสการได้รับบริการทางการแพทย์และสุขภาพได้ทั่วถึง 
3. การวิจัยเพื่อวิเคราะห์ความคุ้มค่าความคุ้มทุนทางเศรษฐศาสตร์เพื่อให้เกิดเข้าถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ในระบบบริการ
4. การวิจัยเพื่อขอขึ้นทะเบียนขออนุมัติสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) FDA registration
5. การขยายผลเทคโนโลยี
6. การทำระบบทะเบียนมาตรฐาน (Registry) ของโรคสำคัญต่างๆ เพื่อเกิดระบบการบูรณาการ การบริหารจัดการ และการวางแผนงานระบบบริการในการรักษาให้เกิดประสิทธิภาพ
7. การศึกษาระบาดวิทยา เพื่อการป้องกันและการดูแลผู้ป่วย โดยการบูรณาการข้อมูลจนนำไปสู่ Big data ของระบบเฝ้าระวังโรค 
8. การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกระบวนวิธีการรักษาหรือแนวเวชปฏิบัติให้เหมาะสม เพื่อลดต้นทุนการตรวจ และการดูแล ส่งเสริมประสิทธิภาพระบบบริการสุขภาพ
3.1.2 การวิจัยโรคติดเชื้อและเชื้อดื้อยา 1. การวิจัยพัฒนาระบบเฝ้าระวังในสถานพยาบาล สถานที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด และชุมชน ส่งเสริม ป้องกันการระบาดโรคติดเชื้อ โรคติดเชื้อดื้อยา
2. วิจัยพัฒนาข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาระบบเฝ้าระวังฯ
3. วิจัยพัฒนาเพื่อสร้างสมรรถนะระบบสาธารณสุขไทยต่อการเฝ้าระวัง ส่งเสริม ป้องกัน เตรียมการเพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดโรคติดเชื้อ และโรคติดเชื้อดื้อยา
4. วิจัยประเมินนโยบาย และสถานการณ์ระบบบริการโรควัณโรค พัฒนาข้อเสนอนโยบาย และนวัตกรรมเขิงสังคม ที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมทั้งจากภาครัฐ เอกชน และองค์กรภาคประชาชน เพื่อสนับสนุนการยุติวัณโรค
       โดยมีเงื่อนไขสำคัญที่นักวิจัยต้องทำงานร่วมกับองค์กรผู้มีส่วนได้เสีย ชุมชน ผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย งานวิจัยที่เป็นวิจัยและพัฒนาต้องทำในพื้นที่ทดลองจริง สร้างการเรียนรู้กับผู้มีส่วนได้เสีย
3.1.3 การวิจัยและพัฒนาระบบยา 1. การอภิบาลระบบยา: พัฒนากลไกการเข้าถึงยาราคาแพง การจัดการข้อมูลสิทธิบัตร/ทรัพย์สินทางปัญญา, Pharmaco-politics กับระบบยา
2. ปฏิบัติการเกี่ยวกับยา & Transforming health service delivery : การจัดบริการสุขภาพในระดับ Self-care/self-medicine งานชุมชน ปฐมภูมิ โรงพยาบาล Intermediate care ให้กลุ่มประชากรกลุ่มเป้าหมาย การใช้นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี การจัดการห่วงโซ่อุปทาน
3. บทบาทของภาคประชาสังคม ในกระบวนการนโยบายด้านยา: บทบาทภาคประชาสังคมในกระบวนการนโยบายด้านยา  ติดตามเฝ้าระวัง, การเข้าถึงยาจำเป็น, การใช้ยาอย่างสมเหตุผล การจัดการปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ
4. ระบบยาในภาวะภัยพิบัติฉุกเฉินด้านสาธารณสุข: วิเคราะห์นโยบายและการปฏิบัติที่ผ่านมาถอดบทเรียน ประเมินผลลัพธ์/ผลกระทบ เตรียมการรองรับภัยพิบัติ และสถานการณ์ฉุกเฉิน ในอนาคต
5. การพัฒนาอุตสาหกรรมยาของประเทศเพื่อการพึ่งพาตนเองด้านยา: การพัฒนาระบบนิเวศน์ที่สนับสนุนอุตสาหกรรม 1st generic, สมุนไพร,  กำลังคน, Biosimilar, Advanced therapy medicinal products (ATMPs)

 

3.2 กรอบการวิจัยแผนงานพัฒนาระบบสุขภาพในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพและภัยสุขภาพ

แผนงานวิจัย กรอบการวิจัย/ประเด็นวิจัย
3.2.1 แผนงานวิจัยพัฒนาระบบสุขภาพในการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินด้านสุขภาพและภัยสุขภาพ

การพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ (Primary care)
1. Model development เพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่พึงประสงค์ทั้งในเขตเมืองและชนบท2. ข้อจำกัดด้านระเบียบกฎหมายในการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ
3. ข้อมูลและระบบจัดเก็บข้อมูลเพื่อใช้ในการค้นหา พัฒนามาตรการและประเมินผลติดตามนโยบายที่เกี่ยวข้องกับระบบบริการปฐมภูมิ
4. เครื่องมือหรือวิธีการวัดผลลัพธ์หรือประสบการณ์จากมุมมองผู้ป่วยในการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิ
5. การเชื่อมโยงข้อเสนอแนะเชิงนโยบายด้านการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิไปสู่กลไกเชิงนโยบายในประเทศไทย รวมถึงผลกระทบของนโยบาย
6. การค้นหาและจัดลำดับความสำคัญของบริการปฐมภูมิเพื่อป้องกัน NCD
7. การพัฒนาแนวทางให้บริการ P&P การออกแบบระบบ การเปลี่ยนวิธีการจ่ายเงิน การปรับพฤติกรรมผู้ให้บริการในระบบบริการปฐมภูมิ
8. การวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อทดสอบนโยบาย DM remission ในระดับบริการปฐมภูมิ
9. การประเมินผล หรือสังเคราะห์บทเรียนสำหรับมาตรการเพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
10. รูปแบบเสริมสร้างศักยภาพในการดูแลระบบบริการปฐมภูมิสำหรับ อบจ./เทศบาล/อบต.

การพัฒนาความเข้มแข็งของระบบสุขภาพ (Health Systems Strengthening)
1. Human Resources for Health: ระดับการจัดสรรบุคลากรในหน่วยบริการ/ระดับจังหวัด/ระดับเขต ที่มีผลต่อการเข้าถึงการดูแลสุขภาพ และระยะเวลาการรอคอยของผู้ป่วยในพื้นที่ชนบทและเมือง, การปรับปรุงนโยบาย CPRID เพื่อให้มีกำลังคนเพียงพอให้การดูแลผู้ป่วยในบริบทปัจจุบัน, ภาระงาน/สุขภาพจิตของผู้ให้บริการ, การธำรงกำลังคนไว้ระบบสุขภาพภาครัฐ, การบริหารจัดการและกาพัฒนาศักยภาพกำลังคน Non-Professional เพื่อช่วยบรรเทาภาระงานของ Professional
2. Palliative care : การวิจัยการจัดบริการดูแลประคับประคอง โดยพิจารณาปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านบริบท กระบวนการ ผลลัพธ์ดำเนินการ ผลลัพธ์บริการ และผลลัพธ์ด้านสุขภาวะของผู้ป่วยและผู้ดูแล/ครอบครัวโดยคำนึงถึงมิติความต้องการทางสุขภาพ สังคมและเศรษฐกิจของผู้ป่วย ผู้ดูแลและครอบครัว, การวิจัยในรูปแบบ knowledge translation research ด้าน holistic care models and supportive mechanisms ที่เชื่อมโยงระหว่างสถานพยาบาล สถานชีวาภิบาลชุมชน (community based hospice) และครอบครัว โดยอาศัยระบบนวัตกรรมการจัดการ (innovative management systems), การเปรียบเทียบระเบียบการจัดสรรงบประมาณและการเบิกจ่ายของกองทุนสามกองทุนเพื่อการจัดบริการดูแลประคับประคองและรูปแบบการจ่ายแบบเน้นคุณค่าที่มุ่งเน้นการดูแลแบบบูรณาการและมีคุณภาพเนื่องจากแต่ละกองทุนมีมีระเบียบการเบิกจ่าย/สิทธิประโยชน์แตกต่างกัน ส่งผลให้เกิดปัญหาในการเบิกจ่ายค่าบริการ และระบบงบประมาณเน้นจัดสรรเพื่อการดูแลในโรงพยาบาลเป็นหลัก ทำให้การดูแลในระดับชุมชนและบ้านขาดการสนับสนุน
3. Leadership Capacity: ทักษะผู้นำที่มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์ด้านสุขภาพ เช่น ผู้บริหารในระบบสุขภาพทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมถึงท้องถิ่น 
4. Community Engagement:  รูปแบบการมีส่วนร่วมของชุมชนที่ทำให้เกิดการปรับปรุงพฤติกรรมการป้องกันโรค Preventable Disease (NCD : DM, HT, CKD)
5. Evidence-Based Policy Implementation: การดำเนินการตามนโยบายที่อิงตามหลักฐานเชิงประจักษ์ในการป้องกัน NCD ปรับให้เข้ากับบริบททางสังคมและวัฒนธรรมแต่ละภูมิภาค เช่น DM remission ในหน่วยบริการ
6. Corruption Risk Reduction: การศึกษาสถานการณ์ของ Moral Hazard ในปัจจุบันและประสิทธิภาพของการตรวจสอบและป้องกันการทุจริตการให้บริการ (fraud) ในหน่วยนวัตกรรม เพื่อเสนอรูปแบบและกลไกการตรวจสอบการทุจริตให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น, มาตรการในการเพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อยาของ อบจ. 
7. Accountability Mechanisms:  กลไกอภิบาลระบบสุขภาพ (Governance) ที่เหมาะสมทั้ง policy level และ organizational level 
8. Resilience to Health Shocks:  ปัจจัย/กลยุทธ์ ที่ช่วยกำหนดประสิทธิผลของการตอบสนองของระบบสุขภาพต่อการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ (น้ำท่วม), เหตุการณ์ทางภูมิอากาศ (คลื่นความร้อน) โรคระบาด
9. Monitoring System Robustness: รูปแบบการติดตามประเมินผลที่เข้มแข็ง เช่น การนำระบบบันทึกสุขภาพ (PHR) มาใช้ ส่งผลต่อความครบถ้วนของข้อมูลและการวางแผนนโยบายสุขภาพ, การปรับปรุงระบบการติดตามสถานะสุขภาพคนไทยแบบ Real time ในการปรับปรุงนโยบาย NCD, การเฝ้าระวังข้อมูลที่รั่วไหลออกจากระบบ
10. Digital Health Adoption: การพัฒนาระบบบริการด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น เช่น การใช้ระบบ paperless ในโรงพยาบาล, การใช้ Generative AI/ digital transformation มาพัฒนาระบบบริการโดยใช้หลักการ Routine to Research

3.2.2 แผนงานการขับเคลื่อนการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยการกระจายอำนาจด้านสุขภาพ: การถ่ายโอน รพ.สต. ไปยัง อบจ.
1. การออกแบบระบบการรายงาน/ส่งข้อมูลสุขภาพภายใต้บริบทสุขภาพที่มีการกระจายอำนาจของหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิไปยัง อปท. เพื่อให้มีข้อมูลสุขภาพและสารสนเทศทางสุขภาพที่จำเป็นต่อการติดตามสถานะทางสุขภาพของประชาชน ตลอดจนมีสถิติที่จำเป็นด้านบริการสุขภาพและสาธารณสุขที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ ครอบคลุมและทันกาล สำหรับการวางแผนสุขภาพระดับประเทศ และระดับพื้นที่
2. การทบทวนและปรับปรุงแนวทางการดำเนินการสอบสวนและควบคุมโรคระบาด รวมถึงกฎหมายต่างๆ ระบบการรายงานและฐานข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สอดคล้องกับการจัดการสาธารณสุขที่มีความหลากหลายตามบริบทของการกระจายอำนาจในระดับพื้นที่ต่างๆ ที่มีทั้ง สสจ. อบจ. อบต. เทศบาล เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการระดับพื้นที่ ซึ่งจะมีทั้งจังหวัดที่มีการถ่ายโอน รพ.สต. ไปทั้งหมด บางจังหวัดและอำเภอมีการถ่ายโอน รพ.สต.ไปบางส่วน และมีจังหวัดที่ยังไม่มีการถ่ายโอน รพ.สต.
3. การทบทวนสถานะทางสุขภาพ และการหามาตรการในการยกระดับสุขภาพของประชาชนในภาพรวมของประเทศ และเรื่องที่มีความต้องการทางสุขภาพเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ที่มีความหลากหลายตามบริบทของการกระจายอำนาจ
4. การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการจัดการเชิงระบบสำหรับบริการปฐมภูมิที่มีประสิทธิผล เพื่อจัดการความสัมพันธ์ บริหารทรัพยากร สนับสนุนทางวิชาการ และดำเนินการจัดบริการร่วมกันในพื้นที่ ซึ่งอาจมีความหลากหลายไปตามบริบทของพื้นที่ที่แตกต่างกัน
5. การวิจัยและพัฒนาแนวทางการจัดการด้านยาของ รพ.สต. เพื่อให้มั่นใจถึงการใช้ยาที่เหมาะสม (RDU) รวมถึงการดำเนินการร่วมกันระหว่าง อบจ.กับ สสจ. การอบรมให้ความรู้ และระบบกำกับติดตาม RDU
6. การวิจัยและพัฒนาการกำกับดูแล (Stewardship) ระบบสาธารณสุขของประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความหลากหลายและการเปลี่ยนแปลงภายใต้การกระจายอำนาจในปัจจุบัน เพื่อยกระดับสุขภาพของประชาชน และเตรียมความพร้อมหากเกิดเหตุภัยพิบัติทางสุขภาพในอนาคต
7. การทบทวนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการถ่ายโอน รพ.สต. จาก กสธ. ไปยัง อบจ. เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่มีความพร้อมในการถ่ายโอนให้เกิดความต่อเนื่องต่อการดำเนินการ และเกิดผลกระทบเชิงลบต่อการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิและงานด้านสาธารณสุขในระยะเปลี่ยนผ่านน้อยที่สุด เช่น ความพร้อมด้านการบริหารบุคลากรสาธารณสุข, ความพร้อมของ กสพ. ในการทบทวนผลการดำเนินการและวางแผนสุขภาพร่วมกันในพื้นที่, ความพร้อมในการจัดบริการสุขภาพปฐมภูมิร่วมกันระหว่างเครือข่าย รพ.สต.ในสังกัด อบจ. และเครือข่ายหน่วยบริการในสังกัด สป.

 

3.3 กรอบการวิจัยแผนงานพัฒนาความเป็นธรรมในระบบสุขภาพ

แผนงานวิจัย กรอบการวิจัย/ประเด็นวิจัย
3.3.1 แผนงานการวิจัยเพื่อสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ 1. การวิจัยเพื่อประเมินทางเศรษฐศาสตร์ ความเป็นไปได้ในการจัดบริการ และผลกระทบด้านงบประมาณที่เป็นเทคโนโลยี และหรือมาตรการบริการสุขภาพเพื่อพัฒนาสิทธิประโยชน์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 

2. การวิจัยประเมินความครอบคลุมการเข้าถึงบริการที่เป็นสิทธิประโยชน์ ทั้งในเชิงปริมาณ คุณภาพ พร้อมกับข้อเสนอเพื่อการปรับปรุงนโยบาย มาตรการ หรืออาจรวมถึงการมีนโยบายจำเพาะที่สนับสนุนให้ประชากรเปราะบางบางกลุ่มได้เข้าถึงบริการตามความต้องการได้มากขึ้น

3. การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริการแบบเน้นคุณค่า (Value-based health care system) และการจ่ายเงินค่าบริการแบบเน้นคุณค่า (value-based healthcare payment) ประกอบด้วย
   3.1 การพัฒนาระบบให้เกิดระบบบูรณาการ ผลลัพธ์จากการพัฒนาประกอบด้วย ผู้รับบริการมีผลลัพธ์ทางสุขภาพดีขึ้น มีประสบการณ์รับบริการที่ดีขึ้น สามารถประหยัดต้นทุนบริการสุขภาพเทียบกับการจัดบริการแบบเดิม มีระบบข้อมูลที่เป็นรายบุคคลที่สนับสนุนการวิเคราะห์ผลลัพธ์การให้บริการและต้นทุนบริการ และมีข้อเสนอที่เป็นไปได้ในทางปฏิบัติต่อกองทุนประกันสุขภาพต่อการปรับเปลี่ยนระบบการจ่ายชดเชยจากกองทุนประกันสุขภาพภาครัฐ
   3.2 การประเมินเทคโนโลยี มาตรการ ที่ปัจจุบันมีการให้บริการและมีความหลากหลายและมีการให้บริการในปริมาณมาก เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจในระดับนโยบาย และหรือวิชาชีพต่อการหยุดให้บริการเทคโนโลยี มาตรการ ที่ไม่มีความคุ้มค่า
   3.3 การวิจัยในประเด็นด้านกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อระบบการจ่ายชดเชยบริการสุขภาพจากกองทุนประกันสุขภาพ และระบบการบริหารค่าตอบแทนแก่บุคลากรสุขภาพภาครัฐ เพื่อพัฒนาข้อเสนอปรับปรุง แก้ไขประเด็นสำคัญด้านกฎหมาย ระเบียบที่จะไปสนับสนุนการจัดบริการสุขภาพแบบเน้นคุณค่า

4. การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงต่อสถานการณ์เปราะบางด้านสุขภาพ ประกอบด้วย
   4.1 ระบบบริการสุขภาพที่เป็นบริการระยะยาว (long term care) การวิจัยประกอบด้วยการประเมินสถานการณ์ระบบปัจจุบัน การสังเคราะห์ให้เห็นโอกาสทางนโยบาย กฎหมาย มาตรการ เพื่อการปรับปรุงระบบบริการ การนำนวัตกรรมใหม่มาสนับสนุน ความเป็นไปได้ของการมีทางเลือกใหม่ของระบบการเงินการคลังที่องค์กรเอกชนมีส่วนร่วม ระบบการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โครงสร้างกลไกการอภิบาลครอบคลุมถึงการพัฒนาและควบคุมคุณภาพในระดับนโยบายไปจนถึงระดับชุมชน  
   4.2 บริการสุขภาพจิตในระดับชุมชนที่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายร่วมกับสถานพยาบาล การวิจัยต้องวิเคราะห์เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเครื่องมือทางนโยบายและสถานการณ์การจัดบริการในปัจจุบัน เสนอแนวทางการพัฒนาและทางเลือกระบบบริการทั้งส่วนส่งเสริม ป้องกัน รักษา และการฟื้นฟู ที่เป็นไปได้ในทางนโยบายและระดับปฏิบัติการ ประเด็นปัจจัยเสี่ยง คือ สารเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า และกลุ่มเสี่ยง คือ เด็กและเยาวชน
  4.3 สิ่งแวดล้อมกับสุขภาพ เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง การแจ้งเตือนจากผลกระทบที่เกิดจากสารพิษ มลพิษที่เกิดจากการปลดปล่อยจากพื้นที่อุตสาหกรรม โรงงาน สถานประกอบการ เพื่อพัฒนาระบบเฝ้าระวังความเสี่ยงต่อสุขภาพ ระบบดังกล่าวที่เกิดขึ้นจากการวิจัยต้องเข้าไปสนับสนุนต่อระบบหรือการปฏิบัติการที่มีอยู่ในพื้นที่ วิจัยพัฒนาโดยใช้ประโยชน์จากเครื่องมือทางกฎหมาย นโยบาย และกลไกที่มีอยู่ในปัจจุบันขององค์กรที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกันอย่างบูรณาการ จนได้ข้อเสนอนโยบาย มาตรการ เทคโนโลยี นวัตกรรม หรือเครื่องมือที่พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ
   4.4 ความเปราะบางที่เป็นทั้งลักษณะความเปราะบางทางกายภาพ และหรือสถานการณ์ใดๆที่มีผลต่อความเสี่ยงด้านสุขภาพ วิจัยเพื่อพัฒนาข้อเสนอด้านนโยบาย มาตรการใหม่ นวัตกรรมเชิงสังคมที่มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ และได้รับการวิจัยพัฒนา และหรือประเมินให้เห็นว่ามีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่าด้านเศรษฐศาสตร์ 
   4.5 ประเมินสถานการณ์ทางนโยบายและระบบบริการที่จัดบริการโดยประชากรเปราะบาง และการวิจัยพัฒนาระบบบริการประเภทนี้ให้มีประสิทธิภาพ มีคุณภาพ สามารถขยายผลได้มากขึ้น นำไปสู่การพัฒนานโยบายด้านการคลังและการจ่ายค่าบริการที่จูงใจที่พัฒนาศักยภาพผู้ให้บริการและนำไปสู่ผลลัพธ์บริการ

 

3.4 กรอบการวิจัยแผนงานวิจัยจีโนมิกส์ประเทศไทย

          นโยบายด้านการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีทางการแพทย์ของประเทศไทยภายใต้ “ยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580” ได้กำหนดให้การลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี เป็นกลยุทธ์หนึ่งของการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรม และบริการการแพทย์ครบวงจร ซึ่งเป็น 1 ใน 6 อุตสาหกรรมของยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ที่เพิ่มมากขึ้น ลดต้นทุนการรักษาพยาบาล และยกระดับการ ให้บริการการแพทย์ที่มีคุณภาพในระดับสากล สามารถนำประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมและบริการการแพทย์ และเชื่อมโยงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ รวมทั้งเพื่อสนับสนุนการสร้างสุขภาวะที่ดีและเพิ่มคุณภาพชีวิต 
         แผนปฏิบัติการบูรณาการจีโนมิกส์ประเทศไทย พ.ศ. 2568-2572 ระยะที่ 2 เป็นการดำเนินงาน    ส่วนขยายต่อจากแผนจีโนมิกส์ฯ ระยะที่ 1 ซึ่งจะมุ่งเน้นการสร้างคุณค่าและใช้ประโยชน์จากข้อมูลจีโนม เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขของประเทศ
โดยมีความเชื่อมโยงของยุทธศาสตร์ แผน/ แผนงานกองทุน ววน. กับแผนงานวิจัยและกรอบการวิจัยของ สวรส. ดังนี้

แผน ววน. P1 (S1) พัฒนาระบบเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy: BCG) ในด้านการแพทย์และสุขภาพ ให้เป็นระบบเศรษฐกิจมูลค่าสูง มีความยั่งยืน และเพิ่มรายได้ของประเทศ
    แผนงานย่อย N1 (S1P1) สร้างความสามารถและยกระดับการให้บริการจีโนมิกส์และการแพทย์
แม่นยำ เพื่อให้เกิดบริการการรักษาที่มีความแม่นยำสูง 

   วัตถุประสงค์และผลลัพธ์หลัก (Objectives and key results: OKRs)
    Objective O2 ประเทศไทยสามารถยกระดับในการให้บริการจีโนมิกส์และการแพทย์แม่นยำ สามารถให้บริการโดยโรงพยาบาลในประเทศได้อย่างแพร่หลาย โดยการใช้ผลงานวิจัย องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
    Key result KR4 ประเทศไทยมีการให้บริการการแพทย์จีโนมิกส์และการแพทย์แม่นยำ ที่มีคุณภาพเทียบเคียงมาตรฐานสากลเพิ่มขึ้น โดยการใช้ผลงานวิจัย องค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม 

โดยมีรายละเอียดกรอบวิจัย ดังนี้

แผนงานวิจัย กรอบการวิจัย/ประเด็นวิจัย
วิจัยจีโนมิกส์ประเทศไทย 1. วิจัยมุ่งเป้า 5 กลุ่มโรค เพื่อยกระดับการวิจัยสู่มาตรฐานสากล โดยใช้เทคนิคต่างๆ           ในการวิเคราะห์ร่วม เช่น Whole Genome Sequencing (Long-Read sequencing, Short-Read sequencing), Whole Exome Sequencing, Targeted sequencing, RNA sequencing, Epigenetic sequencing, SNP array ฯลฯ

1.1 มะเร็ง
   1) ศึกษาปัจจัยทางพันธุกรรมที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่พบบ่อย เช่น Polygenic risk for common cancer
   2) ค้นหาความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมที่สำคัญ (ตับอ่อน, ต่อมลูกหมาก, มะเร็งทางเดินอาหาร, อวัยวะภายในสตรี, มะเร็งมากกว่า 2 ชนิด) 
   3) การกลายพันธุ์ของยีนในชิ้นเนื้อมะเร็ง (มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้และไส้ตรง  มะเร็งที่แพร่กระจาย โดยไม่ทราบว่ามีต้นกำเนิดหรือมีแหล่งที่มาจากอวัยวะใด                (Cancer unknown primary: CUP) 
   4) การศึกษาความสัมพันธ์ของยีนและอาการไม่พึงประสงค์จากการรักษาของผู้ป่วยมะเร็งในโรงพยาบาลเครือข่ายมะเร็งแม่นยำ (pre-cart)
1.2  โรคหายาก
   1) การศึกษาในทารกแรกคลอด (Newborn) ทั้งทารกที่คลอดครบกำหนด และมีสุขภาพดี (healthy term) และทารกที่คลอดก่อนกำหนด (preterm) 
   2) การพัฒนาแนวทางในการปฏิบัติทางการแพทย์ (Clinical practice guideline) สำหรับกลุ่มโรคที่การวินิจฉัยในระดับยีน (genetic diagnosis) สามารถเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพหรือโรคของบุคคลนั้นได้ ตลอดช่วงชีวิตตั้งแต่ทารกแรกเกิดจนสูงวัย เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการให้คำแนะนำ ดูแล ป้องกัน รักษาและติดตามที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลในระยะยาว
   3) การศึกษาเพื่อให้ทราบถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงของลำดับสารพันธุกรรมประเภทที่ยังไม่สามารถตีความได้อย่างชัดเจน (VUS : Variants of uncertain significance) 
   4) การศึกษาเพื่อให้ทราบสาเหตุของผู้ป่วยโรคหายากในโครงการระยะที่ 1 ที่ยังหาสาเหตุไม่พบ 
   5) การศึกษาเพื่อให้ทราบสาเหตุของผู้ป่วยโรคหายากรายใหม่
1.3 โรคติดเชื้อ
   1) โรคอุบัติใหม่ (ไข้หวัดใหญ่ ไวรัสโคโรนา เอนเทอโรไวรัส ฯลฯ)
   2) โรคติดเชื้อที่พบบ่อย (วัณโรค ไข้เลือดออก เชื้อดื้อยาที่ติดต่อในโรงพยาบาล  เชื้อติดต่อทางอาหารและน้ำ เชื้อติดต่อทางเพศสัมพันธ์)
   3) โรคติดเชื้อที่วินิจฉัยได้ยาก (ไข้ไม่ทราบสาเหตุ, เชื้อที่ไม่สามารถระบุชนิดได้)
   4) ศึกษาปฏิสัมพันธ์ระหว่างจีโนมมนุษย์ และจีโนมเชื้อวัณโรค, ไข้เลือดออก, Burkholderia pseudomallei
1.4 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
   1)  พัฒนาองค์ความรู้กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เป็นปัญหาสำคัญ หรือมีลักษณะเฉพาะในประชากร โดยใช้เทคโนโลยีแบบผสมผสานทั้ง genomics และ multi-omics ในกลุ่มผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง กลุ่มประชากรทั่วไป (long term cohorts) กลุ่มชาติพันธุ์เฉพาะ และกลุ่มอายุมากกว่า 100 ปีขึ้นไป
   2) พัฒนาระบบการประเมินความเสี่ยงจากการประเมินตำแหน่งการกลายพันธุ์จากหลายยีน (Polygenic risk score)
   3) พัฒนาการจัดเก็บข้อมูล phenotypes และข้อมูลด้าน exposure ให้มีความ เข้ากันได้ในแต่ละโครงการ
1.5 เภสัชพันธุศาสตร์
   1) การป้องกันการเกิดภาวะไม่พึงประสงค์จากยา และลดอัตราตายจากโรคสำคัญ ผ่านเครือข่ายวิจัยเภสัชพันธุศาสตร์ Thailand Pharmacogenomics Research Network (TPRN) (ในเขตสุขภาพที่ 9, เขตสุขภาพที่มีความสนใจ, ศูนย์แพทย์ศึกษา 37 แห่ง, การสร้างความร่วมมือกับคณะเภสัชศาสตร์ในภูมิภาค และอาเซียน)
   2) พัฒนาแนวทางการใช้ข้อมูลพันธุกรรมเพื่อการเลือกใช้ยาอย่างเหมาะสม (Preemptive Pharmacogenomics) โดยความร่วมมือกับเอกชน
   3) พัฒนาระบบสารสนเทศ เพื่อจัดทำรายงานผลเภสัชพันธุศาสตร์สำหรับระบบบริการ และคืนผลข้อมูลให้กับประชาชน
   4) พัฒนามาตรฐานข้อมูลเภสัชพันธุศาสตร์สำหรับ EMR/ LIMS/ Pharmacy management system
   5) ประเมินเทคโนโลยีในการตรวจทางเภสัชพันธุศาสตร์ที่เหมาะสม สำหรับการตรวจในระบบบริการ
 2.วิจัยโดยใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลประชากรไทย และสนับสนุนการสร้างเครือข่ายการวิจัยแบบ consortium ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแบ่งปันทรัพยากร ข้อมูล ความเชี่ยวชาญ และผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูง ครอบคลุมมากขึ้น (mutual benefit)
3.วิจัยพัฒนาเพื่อพยากรณ์การเกิดโรค การเฝ้าระวังและควบคุมการแพร่กระจายของโรค  (Prognosis & Disease surveillance) 
(1) การพัฒนา Polygenic risk scores (PRS) เพื่อประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรค NCD ที่สำคัญ
(2) การเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเชื้อ TB, เชื้อดื้อยาหลายขนาน, เชื้อดื้อยา ที่ติดต่อทางทางเดินอาหาร, เชื้อดื้อยาในโรงพยาบาล
(3) การเฝ้าระวังไวรัสหรือจุลชีพที่เกิดจากการกลายพันธุ์ (escape mutants) จากวัคซีนที่สำคัญ
4. วิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ในขั้นสูง (Deep science/frontier research) ได้แก่
(1) การพัฒนาวิธีการวิจัยที่ซับซ้อนและละเอียดเพื่อทำความเข้าใจและจัดการกับ โรคที่ซับซ้อน เช่น การวิจัยเชื่อมโยงข้อมูลจีโนม กับ ข้อมูลมิติอื่น เช่น ภาพรังสี ภาพชิ้นเนื้อ การวิเคราะห์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)
(2) การศึกษากลุ่มโรคมะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำและกลุ่มโรคมะเร็งหายาก มะเร็งเด็ก (Multi-omics)
(3) การพัฒนาการวิจัยทางคลินิกสำหรับยีนบำบัด (Gene Therapy) ในโรคธาลัสซีเมีย หรือโรคอื่นที่เกี่ยวข้อง
 5.  วิจัยเพื่อสนับสนุนเชิงระบบ เช่น การศึกษาวิจัยด้านผลกระทบทางจริยธรรม กฎหมาย และสังคม ที่เกิดจากการนำข้อมูลพันธุกรรมไปใช้, กฎหมายหรือกฎระเบียบควบคุมดูแลการโฆษณาเกินจริง การเลือกปฏิบัติ เป็นต้น
 
4. คุณสมบัติของผู้เสนอขอรับทุนและเงื่อนไข 
4.1 ผู้มีสิทธิเสนอขอรับทุน คือ สถาบัน/หน่วยงาน/นักวิจัย/นักวิชาการอิสระ จากภาครัฐ/เอกชน ที่สนใจ
4.2 ข้อเสนอโครงการวิจัยต้องไม่ใช่วิทยานิพนธ์ปริญญาโท หรือปริญญาเอก
4.3 กรอบงบประมาณขึ้นอยู่กับเป้าหมายและตัวชี้วัดของข้อเสนอโครงการวิจัย 
4.4 ยื่นในนามหัวหน้าโครงการเท่านั้น เพื่อเป็นการรับรองว่าข้อมูลที่เสนอมามีความถูกต้อง ครบถ้วน
4.5 หัวหน้าโครงการ สามารถส่งข้อเสนอโครงการได้ไม่เกิน 2 โครงการ  
4.6 เป็นโครงการ/ชุดโครงการ ที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการวิจัยไม่เกิน 2 ปี (1 ชุดโครงการ หมายถึง โครงการวิจัยไม่น้อยกว่า 2 โครงการ) โดยข้อเสนอโครงการที่เป็นชุดโครงการวิจัยต้องแสดงถึงเป้าหมายและตัวชี้วัดที่มีความเชื่อมโยงของโครงการวิจัยที่อยู่ภายใต้ชุดโครงการเพื่อตอบเป้าหมายใหญ่ของชุดโครงการอย่างชัดเจน 
4.7 กรณีโครงการที่เป็นการดำเนินการวิจัยในมนุษย์ สามารถส่งข้อเสนอโครงการได้โดยยังไม่ต้องผ่านการพิจารณาอนุมัติจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ เว้นแต่เมื่อได้รับการพิจารณาสนับสนุนให้ทุนวิจัยแล้ว จำเป็นต้องแสดงหลักฐานการยื่นขอการรับรองจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ก่อนการทำข้อตกลง 
4.8 ผู้ขอรับทุนจะต้องไม่เป็นผู้ติดค้างการส่งรายงานต่างๆ ของโครงการวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก สวรส. โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
4.9 ผู้ขอรับทุนจะต้องสามารถดำเนินการวิจัยได้ตลอดระยะเวลาที่ได้รับทุน รวมทั้งสามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดอย่างมีคุณภาพ
 
5. การพิจารณาข้อเสนอโครงการ 
เกณฑ์การคัดเลือกข้อเสนอโครงการเบื้องต้น 
1) ข้อเสนอโครงการเป็นไปตามเงื่อนไขของประกาศทุนที่ระบุไว้ และเป็นภาษาไทยเท่านั้น
2) มีวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนสอดคล้องตามแนวทางประกาศทุน 
3) สถาบัน/หน่วยงาน และผู้รับผิดชอบโครงการมีความรู้ และประสบการณ์การบริหารจัดการงานวิจัย การดำเนินงานวิจัยและคาดได้ว่าจะสามารถปฏิบัติงานและควบคุมการวิจัยได้ตลอดเวลาการรับทุนภายในระยะเวลาที่กำหนด 
4) เป็นโครงการที่มีการสะท้อนความร่วมมือและ/หรือมีการสนับสนุนจากภาคีความร่วมมือ และระบุผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัยอย่างชัดเจน 
5) ระยะเวลาดำเนินงานวิจัย 1-2 ปี หากเป็นโครงการต่อเนื่องมากกว่า 1 ปี นักวิจัยต้องแสดงให้เห็นเป้าหมายสุดท้าย (End Goal) และมีเส้นทางไปถึงเป้าหมายรายปี (Milestone) แสดงไว้อย่างชัดเจน 
6) สวรส. มีกระบวนการพิจารณาโดยผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการกำกับแผนงานวิจัย ผู้ใช้ประโยชน์จากงานวิจัย ทั้งนี้ อาจจะเชิญหน่วยงาน/นักวิจัยที่ได้ผ่านการพิจารณาเข้ามาหารือเพื่อพัฒนากรอบการวิจัยใหญ่ที่ตอบเป้าหมายและ OKR ของแต่ละแผนงานวิจัยต่อไป 
 
หลักเกณฑ์การพิจารณา
1) มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการของประเทศด้านสุขภาพและระบุปัญหาหรือความจำเป็นที่ต้องทำวิจัยเรื่องนั้นได้อย่างชัดเจน และ/หรือสามารถตอบสนองต่อเป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ (ววน.) ได้
2) มีวัตถุประสงค์ของโครงการวิจัยเพื่อสร้างความรู้ใหม่ ไม่ใช่งานประจำ หรือการทำกิจกรรมที่นำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ
3) มีคำถามวิจัย หรือโจทย์วิจัยที่ชัดเจน
4) มีความสมบูรณ์ของโครงการวิจัยเพียงพอที่ทำให้เข้าใจกรอบความคิดการวิจัยได้
5) มีการออกแบบโครงการวิจัยที่ระเบียบวิธีวิจัยมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์และโจทย์วิจัย
6) เป็นโครงการวิจัยที่เน้นการวิจัยเชิงระบบสุขภาพ หรืออาจเป็นงานวิจัยสุขภาพที่มุ่งเป้าชัดเจน และสามารถแสดงผลลัพธ์ หรือผลกระทบได้อย่างชัดเจน
7) นักวิจัย และทีมวิจัยมีศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ คุณสมบัติ ที่สอดคล้องกับโครงการวิจัย
8) เป็นโครงการวิจัยที่มีแนวทางและความต้องการการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ หรือสามารถนำไปสร้างผลกระทบที่ชัดเจน
ทั้งนี้การพิจารณาของ สวรส. ถือเป็นที่สิ้นสุด
 
6. กำหนดระยะเวลา
6.1 ประกาศประชาสัมพันธ์ และยื่นข้อเสนอโครงการ (Proposal) วันที่ 17 ก.พ. - 30 เม.ย. 2568
6.2 พิจารณาข้อเสนอโครงการ วันที่ 1 - 31 พ.ค. 2568
6.3 ประกาศรายชื่อข้อเสนอโครงการที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้น วันที่ 3 มิ.ย. 2568
 
หมายเหตุ 1. ระยะเวลาอาจจะมีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม
                 2. โครงการที่ผ่านการพิจารณาเบื้องต้นจะเข้าสู่กระบวนการพัฒนาข้อเสนอโครงการวิจัย และกระบวนการสนับสนุนงบประมาณโครงการวิจัยต่อไป
 
7. การยื่นข้อเสนอโครงการ 
          ประกาศรับข้อเสนอโครงการ (Full Proposal)  ผ่านระบบข้อมูลสารสนเทศวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (National Research and Innovation Information System: NRIIS) โดยผู้สนใจสามารถกรอกข้อมูลและยื่นผ่านทางเว็บไซต์ www.nriis.go.th พร้อมแนบไฟล์ Word ของข้อเสนอโครงการดังกล่าว ได้ตั้งแต่วันที่      17 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2568 และสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่  02 027 9701 ผู้ประสาน ได้แก่ นางสาวณัฐธิดา สุขเรืองรอง ต่อ 9055, และ นางสาวอัปสร จินดาพงษ์ ต่อ 9048, นางสาวศิริรัตน์      ทินบุตร ต่อ 9082
 
         กรณีสอบถามรายละเอียดกรอบการวิจัยแผนงานวิจัยจีโนมิกส์ประเทศไทย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่  02 027 9701 ผู้ประสาน ได้แก่ นางสาวอุไรวรรณ แก้วบุญสุข ต่อ 9059 และ นายกัณตภณ ตั้งอุทัยเรือง ต่อ 9080
 
กรณีถ้ามีข้อขัดข้องทางเทคนิค/การคีย์ข้อมูลผ่านระบบ NRIIS สามารถติดต่อผ่านช่องทางสายด่วน Hotline 097 107 9090 ทีมพัฒนาระบบ NRIIS หรือ Email: nriis@nrct.go.th 

 

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้