ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ขนาดตัวอักษร
-
+
ความตัดกันของสี
C
C
C
icon-lang-thภาษาไทย
ค้นหา
เมนู
จำนวนผู้อ่าน : 69 คน
จำนวนดาวน์โหลด :40ครั้้ง
การวิจัยเพื่อพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิโดยใช้แนวคิดเวชศาสตร์ครอบครัวในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลถ่ายโอนไปองค์การบริหารส่วนจังหวัด
นักวิจัย :
อภินันท์ อร่ามรัตน์ , ราม รังสินธุ์ , สายรัตน์ นกน้อย , อิสราภรณ์ เทพวงษา , ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ , โภคิน ศักรินทร์กุล , อรรถกร รักษาสัตย์ , อนุวัตร แก้วเชียงหวาง , พลวัฒน์ ทศวิภาค , สตางค์ ศุภผล , หทัยทิพย์ ธรรมวิริยะกุล , ศิรินภา ศิริพร ณ ราชสีมา , ปิยวรรณ คำศรีพล , ภัทรนันท์ บุณยอุดมศาสตร์ , อัมรา อนุรพันธ์ , โรจนศักดิ์ ทองคำเจริญ , กัลยา จงเชิดชูตระกูล , ธีระบูลย์ เลิศวณิชย์วัฒนา , มฑิรุทธ มุ่งถิ่น , วสันต์ สายทอง , มารุต เหล็กเพชร , นนท์ โสวัณณะ , เบญจวรรณ ธรรมปัญญวัฒน์ , ไพฑูรย์ อ่อนเกตุ , วิทิตา แจ้งเอี่ยม , ลลิตยา กองคำ , กิตติ วงศ์ถาวราวัฒน์
ปีพิมพ์ :
2568
สนับสนุนโดย :
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
วันที่เผยแพร่ :
23 กรกฎาคม 2568

ที่มาและความสำคัญ: ระบบสุขภาพประเทศไทยมีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ทำหน้าที่เป็นหน่วยบริการปฐมภูมิซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึงบริการสุขภาพและเป็นโครงสร้างหลักของระบบสุขภาพปฐมภูมิ การปฏิรูปตามพระราชบัญญัติกระจายอำนาจ พ.ศ. 2542 ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในการบริหารระบบสุขภาพ การวิจัยนี้มุ่งพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิให้สอดคล้องกับบริบทของท้องถิ่นและชุมชน ตามหลักการเวชศาสตร์ครอบครัว วัตถุประสงค์: เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว ประเมินผลระบบเครือข่ายทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว และสังเคราะห์นโยบายเชิงระบบสำหรับการพัฒนา รพ.สต. ที่ถ่ายโอนสู่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) วิธีการดำเนินงาน: การศึกษาเป็น Implementation research พื้นที่ 4 แห่ง ได้แก่ ขอนแก่น ระยอง ลำพูน และตาก ในปี พ.ศ. 2567 โดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพปฐมภูมิ การดำเนินงานประกอบด้วย 1) การพัฒนาศักยภาพทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว 2) การเพิ่มศักยภาพในการบริหารเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม 3) การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการจัดบริการปฐมภูมิผ่าน Digital Health Technology และ 4) การพัฒนากระบวนการติดตามประเมินผล โดยการใช้เครื่องมือ Primary Care Assessment Tool (PCAT) และฐานข้อมูล 43 แฟ้ม การศึกษานี้ใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในการวิจัย (Participatory Action Research) วิเคราะห์ข้อมูลแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ ผลการศึกษา: การดำเนินงานนำไปสู่การสร้างเครือข่ายแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในหลายระดับ 1) เครือข่ายแพทย์ที่สนใจพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิในพื้นที่ถ่ายโอนจำนวน 77 คน จาก 19 จังหวัด โดยมีผู้ที่ได้รับประกาศนียบัตร 24 คน ที่ตั้งใจนำความรู้ไปใช้ในพื้นที่ของตน 2) เครือข่ายแพทย์และสหวิชาชีพเพื่อการดูแลผู้ป่วยที่ซับซ้อน จำนวน 327 คน จาก 54 จังหวัด ส่งผลให้มีศักยภาพและผลลัพธ์ในการดูแลผู้ป่วยที่ซับซ้อนที่ดีขึ้น 3) เครือข่ายนักวิชาการที่สนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งของระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ และ 4) เครือข่ายแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวทีมสหวิชาชีพที่ร่วมกันพัฒนาบริการปฐมภูมิจังหวัดลำพูน เครือข่ายแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวเกิดโครงการพัฒนาระบบการดูแลต่อเนื่องสำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุในชุมชนจังหวัดระยอง ทำให้เกิดการพัฒนาการดูแลเบาหวานสำหรับกรณีซับซ้อน ส่งผลควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีขึ้น 5) เครือข่ายแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิระดับจังหวัด การดำเนินงานในจังหวัดขอนแก่นที่มีตัวแทนจากหลายภาคส่วนมาร่วมในเวทีแลกเปลี่ยน ได้นำไปสู่การพัฒนาแผนการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิระยะที่ 2 ใน ปี พ.ศ. 2568 การประเมินคุณภาพบริการปฐมภูมิด้วยเครื่องมือ PCAT โดยการสำรวจในชุมชนในพื้นที่ศึกษารับผิดชอบโดย รพ.สต. ซึ่งมีการขึ้นทะเบียนตามเกณฑ์กระทรวงสาธารณสุข คือ มีแพทย์ในอัตราส่วน 1: 10,000 พบว่ามีคะแนนต่ำในหลายมิติ สะท้อนข้อจำกัดในการจัดบริการให้เป็นไปตามหลักเวชศาสตร์ครอบครัว จากอัตราส่วนของแพทย์และรูปแบบการจัดบริการในปัจจุบัน การประเมินข้อมูลทุติยภูมิซึ่งได้จากระบบ 43 แฟ้ม ในประชากรที่ได้รับบริการจากหน่วยบริการปฐมภูมิเป้าหมาย 139,495 คน ในช่วงระยะเวลาการศึกษา พบว่าสามารถดำเนินงานได้ดีในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีนและงานอนามัยแม่และเด็ก แต่ยังมีข้อจำกัดของด้านการควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ที่ยังควบคุมโรคได้น้อยกว่าร้อยละ 50 โดยข้อค้นพบคุณภาพบริการปฐมภูมินี้สอดคล้องกับข้อค้นพบจากการทบทวนระบบสุขภาพภายใต้กรอบทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงระบบสุขภาพปฐมภูมิ ซึ่งพบข้อจำกัดทั้งในระดับยุทธศาสตร์และระดับปฏิบัติการ พรบ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ. 2562 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิ แต่ในปัจจุบันยังไม่มีนโยบายและการลงทุนทรัพยากรสนับสนุนการพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิที่จะส่งผลลัพธ์ทางสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม ข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ปี พ.ศ. 2567 พบว่างบประมาณที่จัดสรรให้กับหน่วยบริการปฐมภูมิมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 8.99 ของการใช้งบประมาณทั้งหมด ทั้งนี้พบว่าการถ่ายโอน รพ.สต.ทำให้เกิดการลงทุนพัฒนาบริการปฐมภูมิมากขึ้นจากงบประมาณท้องถิ่น และการมีผู้ที่มีความรู้ด้านเวชศาสตร์ครอบครัวและระบบสุขภาพร่วมพัฒนากับทีมผู้บริหารในระดับยุทธศาสตร์มีความสำคัญต่อการวางรากฐานระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ การมีเครือข่ายแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีความสำคัญในการคงอยู่ของแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวในระบบบริการในภาครัฐ โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีบทบาททั้งในการให้บริการสุขภาพ การสนับสนุนพัฒนาระบบโดยเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานและการพัฒนาศักยภาพให้กับแพทย์และทีมสหวิชาชีพในพื้นที่ ทั้งนี้ในระบบสุขภาพมีแพทย์และทรัพยากรในภาคเอกชนในระดับปฐมภูมิ ซึ่ง สปสช. เริ่มสนับสนุนการจัดบริการภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ถือเป็นโอกาสในการพัฒนาต่อยอดเพื่อเชื่อมต่อระบบทั้งรัฐและเอกชน ให้มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการจัดบริการปฐมภูมิที่มีคุณภาพ สรุปผลการศึกษา: ผลการศึกษาสะท้อนความจำเป็นในการเร่งพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิโดยสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน การเพิ่มการลงทุนในบริการปฐมภูมิ การสร้างความเข้มแข็งของระบบการทำงานแนวราบเพื่อพัฒนาระบบสุขภาพปฐมภูมิในพื้นที่ การสร้างเครือข่ายทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวร่วมกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาศักยภาพบริการปฐมภูมิ และจำเป็นต้องมีระบบติดตามประเมินผลที่สะท้อนคุณค่าของการจัดบริการตามหลักเวชศาสตร์ครอบครัวสำหรับการพัฒนาคุณภาพบริการ


ลิงก์ต้นฉบับ : https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/6290

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้