งานวิจัยมาใหม่แนะนำ
ที่มา การเปรียบเทียบบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยระหว่างร้านยาและแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจพฤติกรรมและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการสุขภาพของประชาชน ข้อมูลที่ได้จากการเปรียบเทียบนี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาแนวทางการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงง่ายในบริบทที่หลากหลาย ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษานี้ใช้รูปแบบวิจัยเชิงคุณภาพในการเปรียบเทียบบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยระหว่างร้านยาและแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาล โดยแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่ 1) การทบทวนเอกสารเกี่ยวกับบริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยและนโยบายจากประเทศที่ให้ความสำคัญ เช่น แคนาดา อังกฤษ ออสเตรเลีย ไต้หวัน เกาหลีใต้ และแอฟริกาใต้ 2) การเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ป่วยและเภสัชกร รวมถึงการสำรวจความหวังและความพึงพอใจของผู้ป่วยเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ใช้บริการในร้านยาและแผนกผู้ป่วยนอกที่โรงพยาบาล โดยการใช้แบบสำรวจเชิงคุณภาพ ใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯและปริมณฑล, เชียงใหม่, อุดรธานี, สุโขทัย, สระแก้ว และยะลา มีผู้ให้ข้อมูลทั้งหมด 48 คน และ 3) การจัดประชุมกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวน 25 คน เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เนื้อหา (content analysis) ผลการศึกษา (1) การทบทวนเอกสารเกี่ยวกับบริการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยและนโยบาย พบว่า โครงการดูแลอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยในร้านยาของแต่ละประเทศมีความแตกต่างตามระบบประกันสุขภาพและบทบาทของเภสัชกร โดยประเทศที่มีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าสนับสนุนบทบาทเภสัชกรผ่านโครงการเฉพาะ เช่น อังกฤษและไต้หวัน ส่วนเกาหลีใต้และแอฟริกาใต้เผชิญข้อจำกัดด้านกฎหมายและการกระจายร้านยา ระบบค่าตอบแทนมีผลต่อความยั่งยืนของโครงการ โดยประเทศที่มีระบบเบิกจ่ายที่ดี เช่น อังกฤษและแคนาดา มีอัตราการเข้าร่วมโครงการสูง ขณะที่ประเทศที่ใช้ระบบร่วมจ่าย เช่น ออสเตรเลียและไต้หวัน อาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการ (2) ผลด้านเส้นทางการใช้บริการ พบว่าผู้ป่วยเลือกใช้ร้านยาเพราะสะดวกและรวดเร็ว ขณะที่โรงพยาบาลมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน อุปสรรคของโครงการร้านยาคือการสื่อสารที่ไม่ชัดเจน ระบบเบิกจ่ายที่ไม่เสถียร และความเข้าใจผิดของผู้ป่วยเกี่ยวกับบทบาทของร้านยา เช่น การเลือกยาเองโดยไม่ต้องซักประวัติ นอกจากนี้ ระบบการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างร้านยาและโรงพยาบาลยังไม่มีประสิทธิภาพ และ (3) ผลการเปรียบเทียบความคาดหวังและความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ พบว่าผู้รับบริการมีความคาดหวังสูงทั้งต่อร้านยาและโรงพยาบาล โดยเฉพาะด้านความสะดวกในการเข้าถึง (ร้านยา x ̅ = 4.7, SD = 0.5 ร้อยละ 95.0; โรงพยาบาล x ̅ = 4.8, SD = 0.4 ร้อยละ 96.0) และการให้บริการของบุคลากร (ร้านยา x ̅ = 4.9 SD = 0.4, ร้อยละ 97.2; โรงพยาบาล x ̅ = 5.0, SD = 0.0 ร้อยละ 100.0) อย่างไรก็ตาม โรงพยาบาลได้รับคะแนนสูงกว่าในด้านขนาดสถานที่ (ร้านยาx ̅ = 4.5, SD = 0.7 ร้อยละ 90.7; โรงพยาบาล x ̅ = 4.6, SD = 0.6 ร้อยละ 91.8) และความครบถ้วนของรายการยา (ร้านยา x ̅ = 4.7, SD = 0.6 ร้อยละ 93.7; โรงพยาบาล x ̅ = 4.8, SD = 0.4 ร้อยละ 95.6) ส่วนร้านยาได้รับคะแนนสูงด้านความรวดเร็วของบริการ (ร้านยา x ̅ = 4.7, SD = 0.6 ร้อยละ 94.0; โรงพยาบาล x ̅ = 4.7, SD = 0.7 ร้อยละ 93.9) ด้านความพึงพอใจพบว่าผู้รับบริการให้คะแนนสูงทั้งสองแห่ง โดยร้านยาได้รับคะแนนสูงกว่าด้านความคุ้มค่าต่อค่าใช้จ่าย (ร้านยา x ̅ = 9.2, SD = 1.8 ร้อยละ 92.0; โรงพยาบาล x ̅ = 4.7, SD = 2.6 ร้อยละ 46.7) และความสะดวกในการเข้าถึง ส่วนโรงพยาบาลได้รับคะแนนสูงกว่าด้านคุณภาพของบริการ (ร้านยา x ̅ = 9.3, SD = 1.5 ร้อยละ 92.7; โรงพยาบาล x ̅ = 9.3, SD = 1.2 ร้อยละ 93.2) และมาตรฐานกระบวนการรักษา ในแง่ของความจงรักภักดีต่อบริการ พบว่าผู้รับบริการมีแนวโน้มใช้บริการร้านยาในอนาคตมากกว่าการกลับไปใช้โรงพยาบาล (ร้านยา x ̅ = 9.6, SD = 1.2 ร้อยละ 95.6; โรงพยาบาล x ̅ = 5.8, SD = 1.6 ร้อยละ 58.3) และมีแนวโน้มแนะนำร้านยามากกว่าโรงพยาบาล (ร้านยา x ̅ = 9.6, SD = 1.2 ร้อยละ 95.6; โรงพยาบาล x ̅ = 6.1, SD = 2.1 ร้อยละ 61.1) สรุป การตอบรับเชิงบวกจากทั้งผู้ป่วยและเภสัชกรแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของโครงการในการตอบสนองความต้องการด้านการดูแลสุขภาพระดับปฐมภูมิ ขณะเดียวกันก็ช่วยลดภาระของแผนกผู้ป่วยนอกในโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่พบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความเข้าใจของผู้ป่วยและโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคนิค บ่งชี้ถึงประเด็นที่ต้องได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของโครงการ การที่เภสัชกรเน้นย้ำถึงความซื่อสัตย์ในฐานะปัจจัยแห่งความยั่งยืน ตอกย้ำถึงความสำคัญของการรักษาความน่าเชื่อถือของโครงการ ข้อพิจารณาด้านนโยบายในอนาคตควรมุ่งเน้นไปที่การขยายความครอบคลุมของประกันสุขภาพ การเสริมสร้างระบบการจัดการ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนโครงการดูแลสุขภาพระดับชุมชนนี้ ผลการศึกษานี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าสำหรับผู้กำหนดนโยบายและผู้บริหารด้านการดูแลสุขภาพในการปรับปรุงและขยายบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิในลักษณะเดียวกัน ข้อเสนอแนะจากผลการศึกษา 1) ด้านระบบบริการควรมีการพัฒนาระบบบริการโดยเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างร้านยาและหน่วยบริการสุขภาพ พร้อมจัดทำแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน และควรขยายโครงการให้ครอบคลุมทุกสิทธิการรักษา 2) ด้านระบบการเบิกจ่ายเงินควรปรับปรุงระบบการเบิกจ่ายเงินให้รวดเร็ว โปร่งใส และพิจารณาใช้ระบบ Co-pay เพื่อลดภาระงบประมาณของรัฐ 3) ด้านการประชาสัมพันธ์ควรเน้นการสื่อสารที่เข้าใจง่าย และเพิ่มช่องทางประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม และ 4) ด้านธรรมาภิบาล ควรเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการดำเนินโครงการ และมีระบบตรวจสอบร้านยาอย่างเข้มงวด ทั้งหมดนี้จะช่วยให้โครงการสามารถขยายผลและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้มากขึ้น
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้