ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ขนาดตัวอักษร
-
+
ความตัดกันของสี
C
C
C
icon-lang-thภาษาไทย
ค้นหา
เมนู
จำนวนผู้อ่าน : 103 คน
การศึกษาความเป็นไปได้ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ภายใต้ระบบ ระบบฉุกเฉินวิกฤตทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ (Universal Coverage for Emergency Patients: UCEP) สำหรับระบบประกันสุขภาพคนต่างด้าวและประกันสุขภาพสำหรับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ กระทรวงสาธารณสุข
นักวิจัย :
ศรวณีย์ อวนศรี , ศุภณัฐ โชติชวาลรัตนกุล , นิจนันท์ ปาณะพงศ์ , ชญาน์นันท์ ครุตศุทธิพิพัฒนน์ , ปวันรัตน์ มิ่งเมือง , วาทินี คุณเผือก , ระพีพงศ์ สุพรรณไชยมาตย์ ,
ปีพิมพ์ :
2568
สนับสนุนโดย :
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
วันที่เผยแพร่ :
25 กุมภาพันธ์ 2568

การศึกษานี้จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ภายใต้ระบบ “ระบบฉุกเฉินวิกฤตทุกที่ ฟรีทุกสิทธิ” (Universal Coverage for Emergency Patients: UCEP) สำหรับระบบประกันสุขภาพคนต่างด้าวและประกันสุขภาพสำหรับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ กระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทย เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายในการพัฒนาระบบเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ภายใต้ระบบ UCEP โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ การเก็บข้อมูล ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1) การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวกับกฎหมาย ขอบเขตและรูปแบบการให้บริการฉุกเฉินวิกฤตสำหรับคนต่างด้าวและผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิในต่างประเทศ 2) การสังเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิเกี่ยวกับการเข้าถึงบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต จากฐานข้อมูลสุขภาพจากศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงสาธารณสุข ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2561 – 2566 3) การประมาณการผลกระทบทางด้านงบประมาณ และ 4) การศึกษาเชิงคุณภาพ ด้วยการสัมภาษณ์เชิงลึก ดำเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัด การสำรวจ Delphi ในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ และการอภิปรายกลุ่มผู้กำหนดนโยบาย ผลการศึกษา 1) การทบทวนกฎหมายและรูปแบบการให้บริการฉุกเฉินวิกฤตสำหรับคนต่างด้าวและผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิทั้งในและต่างประเทศ ประกอบด้วย สิงคโปร์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น อังกฤษ และฝรั่งเศส พบว่า ในแต่ละประเทศมีความแตกต่างในรูปแบบการให้บริการและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยรูปแบบระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศที่ศึกษาสามารถแบ่งระบบประกันสุขภาพออกเป็น 2 แบบหลัก คือ หลักที่ 1 ระบบประกันสุขภาพภาครัฐ สามารถแบ่งออกได้ตามประเภทของผู้ที่เป็นสมาชิกของกองทุนนั้น ๆ ได้แก่ ระบบประกันสุขภาพแห่งชาติใช้แหล่งเงินภาษีเป็นหลัก (อังกฤษ) ระบบประกันสังคม แหล่งเงินมาจากนายจ้างและลูกจ้าง (มาเลเซีย ญี่ปุ่น) และรัฐบาลร่วมจ่ายด้วย (ฝรั่งเศส) หลักที่ 2 ระบบประกันสุขภาพเอกชน มี 2 รูปแบบ คือ ประกันภาคบังคับตามเงื่อนไขกฎหมาย (สิงคโปร์ มาเลเซีย) แหล่งเงินมาจากนายจ้างจ่ายค่าเบี้ยประกัน (สิงค์โปร์ มาเลเซีย) และประกันบนพื้นฐานความสมัครใจ (ฝรั่งเศส อังกฤษ) แหล่งเงินมาจากเบี้ยประกันเอกชน (Private Premium) ขณะที่ประเทศไทย มีระบบประกันสุขภาพภาคบังคับแค่แรงงานต่างด้าวในอาชีพที่เข้าข่ายประกันสังคมเท่านั้น ส่วนอาชีพที่ไม่เข้าข่ายประกันสังคมจะเป็นการประกันสุขภาพแบบสมัครใจกับกระทรวงสาธารณสุข สำหรับความครอบคลุมของการให้บริการสุขภาพหลายประเทศครอบคลุมการรักษาพยาบาลขั้นพื้นฐาน การรักษาแบบผู้ป่วยในและนอก และการรักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต โดยระบบประกันสุขภาพมักครอบคลุมค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 70-100% แต่ในบางประเทศอาจมีการจำกัดวงเงินหรือการร่วมจ่าย ส่วนประเทศไทยมีเพียงระบบประกันสังคมที่ครอบคลุมกรณีฉุกเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต 2) การเข้าถึงบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตของคนต่างด้าวและบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิในระหว่างปี พ.ศ. 2561 – 2566 พบว่า มีคนต่างด้าวและบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิมาใช้บริการฉุกเฉินวิกฤตที่โรงพยาบาล จำนวนทั้งสิ้น 9,823 ครั้ง เมื่อพิจารณาปริมาณการเข้ารับบริการจำแนกตามสัญชาติ พบว่า ผู้มารับบริการฉุกเฉินวิกฤตส่วนใหญ่เป็นชาวพม่ามากที่สุด จำนวน 5,776 ครั้ง (ร้อยละ 58.80) รองลงมา คือ ชาวกัมพูชา จำนวน 2,452 คน (ร้อยละ 24.96) ชาวลาว จำนวน 1,421 คน (ร้อยละ 14.47) และชาวเวียดนาม 174 คน (ร้อยละ 1.77) ตามลำดับ เมื่อวิเคราะห์ค่าบริการรวมทุกสิทธิการรักษา (ต้นทุนในการให้บริการ) เป็นจำนวนทั้งหมด 25,556,886.40 บาท และมีจำนวนเงินที่เรียกเก็บกับผู้ป่วย ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เบิกได้ เป็นเงิน 8,708,602.69 บาท เมื่อแยกสิทธิการรักษา พบว่า สิทธิบัตรประกันสุขภาพคนต่างด้าว มีค่าบริการเป็นจำนวนทั้งหมด 1,299,319.95 บาท และมีจำนวนเงินที่เรียกเก็บกับผู้ป่วย ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เบิกได้ เป็นเงิน 101,472.40 บาท เมื่อคิดค่าบริการเฉลี่ยในปี พ.ศ. 2566 จะมีค่าบริการเฉลี่ยต่อครั้งจากข้อมูล 43 แฟ้มอยู่ที่ 4,259.64 บาท/ครั้ง ค่าบริการเฉลี่ยต่อครั้งจากฐานข้อมูลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) อยู่ที่ 35,089.08 บาท/ครั้ง 3) การคาดการณ์งบประมาณที่พึงกันไว้สำหรับชดเชยให้กับสถานพยาบาล ในอีก 5 ปีข้างหน้า แบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 ให้บริการแก่ผู้ป่วยต่างด้าวที่ทำประกันกับกระทรวงสาธารณสุขในโรงพยาบาลของรัฐ งบประมาณที่คาดการณ์ไว้จะอยู่ในช่วง 366,329.04 - 553,753.20 บาท (เมื่อใช้ค่าบริการเฉลี่ยจาก HDC ที่ 4,259.64 บาทต่อครั้ง) หรือ 3,017,660.88 - 4,561,580.4 บาท (เมื่อใช้ค่าบริการเฉลี่ยจาก สปสช. ที่ 35,089.08 บาทต่อครั้ง) กรณีที่ 2 ให้บริการเฉพาะบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ: งบประมาณที่คาดการณ์จะต้องใช้งบประมาณระหว่าง 89,452.44 - 93,712.08 บาท (เมื่อใช้ค่าบริการเฉลี่ยจาก HDC) หรือ 350,890.80 - 385,979.88 บาท (เมื่อใช้ค่าบริการเฉลี่ยจาก สปสช.) กรณีที่ 3 ให้บริการในโรงพยาบาลเอกชน: หากรัฐบาลลงทุนให้บริการในโรงพยาบาลเอกชน งบประมาณที่คาดการณ์จะสูงกว่าโรงพยาบาลของรัฐมาก โดยงบประมาณจะอยู่ที่ 850,376.84 - 1,285,453.36 บาท สำหรับผู้ป่วยต่างด้าว และ 1,058,026.99 - 1,176,684.23 บาท สำหรับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ชี้ให้เห็นถึงต้นทุนที่สูงขึ้นในการให้บริการในโรงพยาบาลเอกชนเมื่อเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลของรัฐ 4) มุมมองผู้ให้บริการต่อความเป็นไปได้ในการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ภายใต้ระบบ UCEP สำหรับระบบประกันสุขภาพคนต่างด้าวและประกันสุขภาพสำหรับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า มีความเป็นไปได้ในการให้บริการรักษาพยาบาลฉุกเฉินภายใต้ระบบ UCEP ในมุมของการให้บริการ เนื่องจากทุกโรงพยาบาลมีการให้บริการอยู่แล้ว โดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน และในมุมของกฎหมายตามพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2559 ที่มุ่งคุ้มครองประชาชนทุกคนที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์ และระบุไว้ว่าสถานพยาบาลต้องให้การดูแลรักษาอย่างเต็มขีดความสามารถกับผู้ป่วยฉุกเฉิน และคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ โรงพยาบาลรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตเพื่อให้พ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพโดยไม่มีเงื่อนไขการเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ให้ข้อมูลทุกคนยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับงบประมาณหากขยายสิทธิ UCEP ไปยังผู้ป่วยสองกลุ่มนี้อาจไม่เพียงพอในการรองรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากกองทุนระบบประกันสุขภาพคนต่างด้าวมีแหล่งงบประมาณจากการขายบัตรประกันสุขภาพเพียงช่องทางเดียว ขณะที่กองทุนประกันสุขภาพบุคคลผู้ที่มีปัญหาสถานะและสิทธิได้มาโดยรัฐบาลจัดสรรงบประมาณแบบเหมาจ่ายรายหัวต่อจำนวนประชากรผู้มีสิทธิ ซึ่งต้นทุนการให้บริการผู้ป่วยในปัจจุบันสูงกว่างบประมาณเฉลี่ยต่อหัวที่กองทุนสามารถจัดสรรให้ 5) ผลการสำรวจ Delphi ความเป็นไปได้และภาพอนาคต พบว่า คนต่างด้าวที่มีบัตรประกันสุขภาพคนต่างด้าวของกระทรวงสาธารณสุข และบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิพึงมีสิทธิได้รับบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตในหน่วยบริการของรัฐไทย โดย สปสช. ทำหน้าที่ Clearing House สํารองจ่ายเงินให้หน่วยบริการ และเรียกเก็บจากกองทุนที่เกี่ยวข้อง ส่วนคนต่างด้าวที่ไม่มีสิทธิการรักษาควรรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองหรือองค์กรพัฒนาเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย รวมถึงกองเศรษฐกิจสุขภาพและหลักประกันสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ควรเป็นหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ทิศทางการพัฒนาระบบประกันสุขภาพและบริหารจัดการกองทุนประกันสุขภาพคนต่างด้าว ทั้งนี้ เพื่อให้การคลังสุขภาพมีเสถียรภาพจำเป็นต้องมีกฎหมายพระราชบัญญัติรองรับอำนาจหน้าที่และบทบาทดังกล่าว รวมถึงการจัดทำกฎหมายระดับพระราชบัญญัติเพื่อการจัดทำหลักประกันสุขภาพสำหรับคนไม่มีสัญชาติไทยทุกกลุ่ม ส่วนภาพอนาคตผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นพ้องว่า การซื้อบัตรประกันสุขภาพต่างด้าว กระทรวงสาธารณสุขในกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ไม่อยู่ในสิทธิประกันสังคม ควรกำหนดให้เป็นข้อกฎหมายบังคับที่แรงงานต่างด้าวต้องซื้อเมื่อมีการขึ้นทะเบียน และควรมีการพิจารณาค่าบัตรประกันสุขภาพคนต่างด้าวของกระทรวงสาธารณสุขที่เหมาะสม โดยการวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายการดูแลสุขภาพจริง (วิเคราะห์ความคุ้มค่าของราคาบัตร)


ลิงก์ต้นฉบับ : https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/6234

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้