ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ขนาดตัวอักษร
-
+
ความตัดกันของสี
C
C
C
icon-lang-thภาษาไทย
ค้นหา
เมนู
จำนวนผู้อ่าน : 222 คน
การประเมินผลกระทบการให้วัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบบีในงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ หลังจากดำเนินการมา 30 ปี และความชุกของโรคตับอักเสบ เอ บี และซี ในประเทศไทย
นักวิจัย :
ยง ภู่วรวรรณ , ณศมน วรรณลภากร , พลิตถิยา สินธุเสก , ธนัญรัตน์ ทองมี , จิรัชญา พื้นผา , ภรจริม นิลยนิมิต , สิทธิชัย กนกอุดม , หนึ่งฤทัย สุนทรวงศ์ , ภัทรภร อินทร์มา , ปรียาพร วิชัยวัฒนา , ศิรภา กลิ่นเฟื่อง , ลักขณา วงษ์ศรีสังข์ , รัชดาวรรณ เอี่ยมจินดา , สุเมธ ก่อกอง , กิตติยศ ภู่วรวรรณ , วิชาญ บุญกิตติกร , ชนินันท์ สนธิไชย , ปิยดา อังศุวัชรากร , ปรางณพิชญ์ วิหารทอง , ณรงค์ ถวิลวิสาร , พิเชษฐ พืดขุนทด , ศันสนีย์ ภัทรศรีวงษ์ชัย , ปริชญา หล่อประโคน , สมเจตน์ ชัยเจริญ , พรสวรรค์ มีชิน , เฉลิมพล พงษ์พิชิต , มณฑณา ฟูน้อย , วัชรนันท์ ถิ่นนัยธร , ธวัชชัย ล้วนแก้ว , ศศิธร วิโนทัย ,
ปีพิมพ์ :
2568
สนับสนุนโดย :
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
วันที่เผยแพร่ :
28 กุมภาพันธ์ 2568

ไวรัสตับอักเสบเป็นปัญหาทางสาธารณสุขของประชากรโลก สำหรับประเทศไทย ไวรัสตับอักเสบเป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลัน เรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ รวมทั้งเป็นสาเหตุให้เพศชาย พบมะเร็งตับสูงที่สุดในบรรดามะเร็งทั้งหมด ในอดีตที่ผ่านมาการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี พบในอัตราที่สูงร้อยละ 6-8 (ค.ศ. 1980) และไวรัสตับอักเสบ ซี ร้อยละ 2 (ค.ศ. 1990) พบว่าสาเหตุการแพร่กระจาย ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารก และการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี เกิดจากการใช้ของมีคมร่วมกัน การถ่ายเลือดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ในปัจจุบันไวรัสตับอักเสบ บี สามารถป้องกันการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการให้วัคซีนในทารกแรกเกิด ประกอบกับระบบสาธารณสุข และความรู้เรื่องการป้องกัน รวมทั้งมีการตรวจกรองเลือดที่บริจาคทุกหน่วย องค์การอนามัยโลกมีนโยบายการขจัดไวรัสตับอักเสบให้เหลือน้อยที่สุดภายในปี ค.ศ. 2030 และมีการประกาศให้ลดการถ่ายทอดไวรัสตับอักเสบ บี จากมารดาสู่ทารกให้เป็นศูนย์ ประเทศไทยได้รับนโยบายดังกล่าว โดยมีข้อบ่งชี้ว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีในเด็กต่ำกว่า 5 ปี ต้องน้อยกว่าร้อยละ 0.1 รวมทั้งการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบ ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 90 และป้องกันการติดเชื้อรายใหม่ให้ได้มากกว่าร้อยละ 90 ในผู้ที่ติดเชื้อจะต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาให้ได้มากกว่าร้อยละ 80 และเมื่อถึงเวลาดังกล่าว อัตราการตายจากโรคที่เกี่ยวข้องกับไวรัสตับอักเสบต้องลดลงให้ได้อย่างน้อย ร้อยละ 65 จึงเป็นที่มาและเหตุผลในการศึกษาติดตาม การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบในประเทศไทย จากข้อมูลของศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสตับอักเสบ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษามาโดยตลอดทุก 10 ปี ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 2004 2014 และการศึกษาในปีนี้ ค.ศ. 2024 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ทราบถึงตัวเลขที่แท้จริงของประเทศไทยในการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ บี และซี โครงการนี้จึงได้ทำการศึกษาโดยสุ่มจากประชากร 4 จังหวัดที่เป็นตัวแทนของแต่ละภาค คือ จังหวัดอุตรดิตถ์ พระนครศรีอยุธยา บุรีรัมย์ และตรัง จังหวัดละ 1,500 คน โดยเลือกจากเขตอำเภอเมือง ครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งหนึ่งเป็นอำเภอที่อยู่นอกออกไปรวมทั้งชนบท โดยกระจายกำหนดอายุ ตั้งแต่ 6 เดือน จนถึง 80 ปี ตามกลุ่มเป้าหมายที่ได้คำนวณไว้ตามสถิติ โดยมีฐานของการให้วัคซีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา โดยจะทำการตรวจเลือด หา markers ของไวรัสตับอักเสบ บี ได้แก่ HBsAg, anti-HBs และ anti-HBc ไวรัสตับอักเสบ ซี ได้แก่ anti-HCV และ HCVcAg ไวรัสตับอักเสบ เอ ได้แก่ anti HAV IgG โดยใช้ commercial kit วิธี chemiluminescent การวิเคราะห์ข้อมูล อัตราการตรวจพบกระจายตามอายุต่าง ๆ และเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของประชากรไทย เพื่อหาภาพรวมของการติดเชื้อในประเทศไทย ผลการศึกษา ไวรัสตับอักเสบ เอ พบว่าประชากรส่วนใหญ่ ยังไม่มีภูมิต้านทานหรือตรวจไม่พบ anti HAV IgG โดยอายุที่ตรวจพบภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ เอ (anti-HAV IgG) ร้อยละ 50 อยู่ที่อายุ 47 ปี และหลังจากนั้นจะตรวจพบภูมิต้านทานต่อไวรัสตับอักเสบ เอเป็นส่วนใหญ่โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ แสดงให้เห็นว่าในขณะนี้ประเทศไทยทางด้านระบาดวิทยาจัดอยู่ในประเทศที่เป็น very low endemicity ต่อไวรัสตับ อักเสบ เอ ไวรัสตับอักเสบ บี ได้มีการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและอัตราการครอบคลุมสูงในทารกแรกเกิด ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เป็นต้นมา ทำให้อุบัติการณ์การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBsAg) ลดลงอย่างมากโดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี การติดเชื้อจะพบได้ในส่วนใหญ่ผู้ที่มีอายุเกิน 30 ปีขึ้นไป และเมื่อคำนวณภาพรวมของการติดเชื้อทั้งประเทศ อัตราการติดเชื้อจะอยู่ที่ร้อยละ 1.68 นับว่าการติดเชื้อลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับในปี ค.ศ. 2004 (ร้อยละ 4.0) และ ค.ศ. 2014 (ร้อยละ 3.48) ข้อมูลการศึกษายังสนับสนุนด้วยการตรวจพบ anti-HBc ในกลุ่มประชากรที่อายุน้อยพบได้น้อยมาก และประชากรส่วนใหญ่มีภูมิต้านทาน anti-HBs ถึงแม้ว่าภูมิต้านทานจะลดลงตามกาลเวลา แต่ก็ยังสามารถป้องกันการติดเชื้อได้ นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นว่าประเทศไทย ประสบผลสำเร็จในการลดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีจากมารดาสู่ทารกให้เป็นศูนย์ได้เป็นผลสำเร็จ เพราะการตรวจพบการติดเชื้อ HBsAg ในเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี พบน้อยกว่าร้อยละ 0.1 ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวเลขรายงานให้องค์การอนามัยโลกทราบถึงผลสำเร็จดังกล่าว และนับจากนี้ประเทศไทยก็จะมีแนวโน้มการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บีลดลงอย่างมาก เชื่อว่าผู้ป่วยมะเร็งตับที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี ก็จะลดลงด้วยเช่นกัน ไวรัสตับอักเสบ ซี จากการศึกษาพบว่ามีการลดลงอย่างมาก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 ประชากรไทยมีอัตราการตรวจพบไวรัสตับอักเสบ ซี anti-HCV ร้อยละ 2.15 และลดลงเหลือ ร้อยละ 0.94 ในปี ค.ศ. 2014 และในปี ค.ศ. 2024 การตรวจพบ anti-HCV เหลือเพียงร้อยละ 0.56 หรือประมาณประชากร 363,475 คน แสดงให้เห็นว่าการลดลงของไวรัสตับอักเสบ ซี ได้ลดลงด้วยการพัฒนาด้านระบบสาธารณสุข และการให้ความรู้ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี โดยเฉพาะการใช้ของมีคมร่วมกัน การตรวจกรองในผู้บริจาคโลหิต และในปัจจุบันผู้ที่ตรวจพบไวรัสตับอักเสบ ซี จะเข้าสู่กระบวนการรักษา ซึ่งสามารถรักษาให้หายขาดได้ ทำให้มีความมั่นใจว่าไวรัสตับอักเสบ ซีจะเหลือน้อยที่สุด หรือใกล้หมดไปภายในปี ค.ศ. 2030 จากข้อมูลดังกล่าวทั้งหมด จะเป็นข้อมูลการอ้างอิงระดับชาติที่กระทรวงสาธารณสุขนำไปใช้วางแผน และกำหนดนโยบายในการขจัดไวรัสตับอักเสบ รวมทั้งเป็นข้อมูลแสดงถึงความสำเร็จของประเทศไทย ให้นานาชาติ และองค์การอนามัยโลก เห็นความสำเร็จของประเทศไทยในการขจัดไวรัสตับอักเสบในช่วง 30 ปี ที่ผ่านมา นอกจากนี้รายงานทั้งหมดยังได้เผยแพร่ในวารสารระดับนานาชาติ จำนวน 3 เรื่องทั้งไวรัสตับอักเสบ เอ บีและซี


ลิงก์ต้นฉบับ : https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/6239

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้