ชั้น 4 อาคารสุขภาพแห่งชาติ เลขที่ 88/39 ถ.ติวานนท์ 14 ต.ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ขนาดตัวอักษร
-
+
ความตัดกันของสี
C
C
C
icon-lang-thภาษาไทย
ค้นหา
เมนู
จำนวนผู้อ่าน : 462 คน
การรักษาโรคพิธิโอซิสแบบผสมผสานโดยมีการผ่าตัด การให้ยาต้านเชื้อราและยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (ปีที่ 3)
นักวิจัย :
นิติพงศ์ เพิ่มพลัง , รองพงศ์ โพล้งละ , นวพร วรศิลป์ชัย , ปัทมา ต.วรพานิช , นิพัทธ์ ชูลีระรักษ์ , กษมา มโนธรรมเมธา , อชิตพล ทองคำ , ณัฐพงศ์ เหล็งศิริ ,
ปีพิมพ์ :
2567
สนับสนุนโดย :
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
วันที่เผยแพร่ :
7 พฤศจิกายน 2567

หลักฐานทางวิชาการก่อนการศึกษานี้ โรคพิธิโอซิสในหลอดเลือดเป็นโรคที่พบได้ไม่มาก แต่เป็นโรคที่มีอันตรายถึงแก่ชีวิตของผู้ป่วยได้ โดยผู้ป่วยที่ยังมีรอยโรคหลังจากการผ่าตัดจะเสียชีวิตทั้งหมดไม่ว่าจะได้รับการรักษาโดยยาอื่น ๆ ดังนั้นแล้วการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดเพื่อให้ส่วนที่ติดเชื้อออกทั้งหมดจึงเป็นการรักษาหลักและเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการรอดชีวิตของผู้ป่วย ในการศึกษาของทางทีมผู้วิจัยที่ผ่านมาพบว่า ถึงแม้ผู้ป่วยจะมีผลการตรวจทางพยาธิวิทยาว่าไม่เหลือส่วนที่ติดเชื้อแล้ว แต่ถ้าระดับเบต้ากลูแคนในเลือดของผู้ป่วยไม่ลดหลังผ่าตัดแสดงว่ายังมีรอยโรคหลงเหลืออยู่ในร่างกายและจะนำไปสู่การเกิดโรคซ้ำและเสียชีวิตตามมา จากผลการศึกษานี้ทำให้ทีมผู้วิจัยคอยตรวจติดตามระดับเบต้ากลูแคนในเลือดผู้ป่วยเสมอมา อย่างไรก็ตาม การตรวจระดับเบต้ากลูแคนในไทยยังมีจำกัดมากเพราะสามารถตรวจได้ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เพียงที่เดียวและราคายังสูงมาก นอกจากการผ่าตัด การรักษาโรคพิธิโอซิสด้วยยาในไทย เดิมใช้ยา itraconazole ร่วมกับ terbinafine ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อรา จากผลการศึกษาเก่าจากต่างประเทศ แต่การศึกษาความไวของเชื้อโรคพิเธียมในไทยนั้นพบว่าเชื้อโรคไวต่อยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม tetracyclines และ macrolides มากกว่า ทำให้การรักษาโรคพิธิโอซิสภายใต้การศึกษาของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ได้เปลี่ยนมาเป็น itraconazole, azithromycin และ doxycycline คุณค่าที่เพิ่มเติมจากการศึกษานี้ การศึกษานี้เป็นการทดลองทางคลินิกที่ทดสอบแผนการรักษาใหม่ซึ่งประกอบด้วยยา azithromycin, doxycycline, itraconazole และการผ่าตัด โดยมีผู้ป่วยรวมทั้งสิ้น 51 ราย โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่มีโรคคงเหลือ 19 ราย และกลุ่มที่ไม่มีโรคคงเหลือ 32 ราย ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคคงเหลือพบว่ามีอัตราการรอดชีวิตสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาในอดีตที่ใช้ itraconazole ร่วมกับ terbinafine ที่ผู้ป่วยทั้งหมดจะเสียชีวิตภายใน 3 เดือน การรักษาแบบใหม่พบว่าผู้ป่วยที่มีโรคคงเหลือบางรายสามารถรอดชีวิตได้เกินกว่า 3 เดือน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับยา azithromycin และ doxycycline ร่วมด้วยในการรักษา การศึกษาความไวของเชื้อพบว่าเชื้อพิเธียมมีความไวต่อยา azithromycin และ doxycycline นอกจากนี้ยังพบว่ายากลุ่ม tetracyclines และ macrolides มีผลออกฤทธิ์เสริมกัน จากผลการศึกษานี้ ทีมวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าแผนการรักษาใหม่สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตและลดอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคพิธิโอซิสได้อย่างมีนัยสำคัญ การเปลี่ยนแปลงแผนการรักษาเพื่อรวมยา azithromycin และ doxycycline เข้ามาแทนที่ยา terbinafine ทำให้ผู้ป่วยที่มีโรคคงเหลือสามารถรอดชีวิตได้เกินกว่า 3 เดือน ซึ่งเป็นความสำเร็จในการรักษาที่มีความสำคัญและควรนำไปพิจารณาใช้เป็นแนวทางการรักษาในอนาคต


ลิงก์ต้นฉบับ : https://kb.hsri.or.th/dspace/handle/11228/6192

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

จัดการความเป็นส่วนตัว
คุกกี้ที่มีความจำเป็น
(Strictly Necessary Cookies) เปิดใช้งานตลอด

คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้