สกู๊ปและบทความจากงานวิจัย สวรส. ในรูปแบบบทความที่เข้าใจง่าย
ระยะนี้ หากไม่พูดถึงปัญหาน้ำท่วม ก็จะกลายเป็นการตกยุคสมัยไป เพราะผู้คนจำนวนมากกำลังเดือดร้อนเข้าขั้นวิกฤต เนื่องจากพวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ตามปรกติ แม้ว่ากลไกต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะได้พยายามเข้าไปช่วยเยียวยาแล้วก็ตาม... นี่แสดงว่า ระบบของเราล้มเหลว ไม่สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้แล้วหรือ
โดยทั่วไป ทุกระบบๆ ไม่ว่าระบบเล็กหรือระบบใหญ่ (รวมถึงสังคมไทยในฐานะที่เป็นระบบหนึ่งด้วย) จะมีศักยภาพในการรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อนได้ในระดับหนึ่ง โดยไม่สูญเสียความสามารถในการทำงานตามหน้าที่ของระบบนั้นๆ ไป แต่ระบบทุกระบบก็มีความเสี่ยง และความสามารถในการปรับตัวเพื่อรับกับความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ทำให้ระบบนั้นๆ ทนต่อแรงกดดันภายนอก (ภัยธรรมชาติต่างๆ รวมถึงสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น) โดยไม่ส่งกระทบอย่างมากต่อหน้าที่ของระบบนั้นๆ (system resilience)1 ได้แตกต่างกันด้วย
กรณี การเกิดซีนามิขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อเดือนมีนาคม 2554 เราได้เห็นประชาชนและกลไกภาคส่วนต่างๆ รับมือกับความเสียหายที่เกิดจากภัยธรรมชาติดังกล่าว ด้วยภาพซึ่งเป็นที่ชื่นชม ของประชาชนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการมีระเบียบวินัยและความอดทนของประชาชนในการรับความช่วยเหลือ ต่างๆ เรื่องราวของผู้คนที่แม้ตนเองจะได้รับความสูญเสีย แต่ก็ยังคำนึงถึงชีวิตของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ปัญหาการลักทรัพย์แม้จะเกิดขึ้น แต่ก็มีจำนวนไม่มากนัก กลไกต่างๆ ทำงานและประสานงานกันได้อย่างดี เมื่อมีปัญหาผู้รับผิดชอบก็ออกมาแสดงความรับผิดชอบและกล่าวขอโทษกับประชาชน ฯลฯ (เรื่องราวจำนวนมากเหล่านี้ยังหาอ่านได้ในสื่ออินเตอร์เน็ต เช่น จาก http://www.pantip.com/cafe/news/topic/NE10374173/NE10374173.html และข้อมูลจากรายงานการจัดภารภัยพิบัติและการฟื้นฟูบูรณะหลังเกิดภัย กรณีศึกษาประเทศไทยและประเทศอื่นๆ จัดทำโดยสภาพัฒน์ หาอ่านได้จาก http://measwatch.org/sites/default/files/bookfile/data_0519260511.pdf) ทั้งหมดสะท้อนความสามารถของสังคมญี่ปุ่นต่อการรับมือภาวะวิกฤต โดยที่สังคมไม่เกิดวิกฤตตามไปด้วย
สำหรับปัญหาน้ำท่วมในประเทศไทย เราเห็นสังคมไทยและคนไทยรับมือกับปัญหาได้ดีในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันของประชาชน ซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป แม้เรื่องราวอาจไม่ประทับใจมากเหมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น อาจพบบางคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นในยามเดือดร้อนบ้าง แต่ก็ถูกสังคมส่วนรวมประณาม สะท้อนถึงคุณภาพของคนและความสามารถของสังคมในการรักษาค่านิยมและบรรทัดฐาน ที่ถูกต้อง ในการช่วยเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน สิ่งที่น่าเป็นห่วงและมีผู้สะท้อนปัญหากันอย่างมากคือ การทำงานและการประสานระหว่างกลไกภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หลักๆ สะท้อนผ่านปัญหาการประสานระหว่าง ศปภ. ซึ่งเป็นกลไกของรัฐบาลส่วนกลาง และ กทม. ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จนมีบางท่านให้ข้อสังเกตว่า การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาวิกฤตจากอุทกภัยครั้งนี้
คุณภาพประชากร รวมถึงวัฒนธรรม ค่านิยมของประชาชน เป็นปัจจัยหนึ่งที่กำหนด system resilience รายงานของสภาพัฒน์ฯ (ตามที่อ้าง) ได้ระบุประเด็นจุดแข็งนี้ของประเทศญี่ปุ่นไว้อย่างชัดเจน และเป็นจุดแข็งที่ผ่านการปลูกฝัง เตรียมการ มายาวนาน (อันเนื่องจากสภาพภูมิประเทศและประวัติศาสตร์การพัฒนาที่ผ่านมาของญี่ปุ่น) สำหรับประเด็นเรื่องการกระจายอำนาจหรือการรวมศูนย์อำนาจ แบบใดจะทำให้ระบบสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้ดีกว่านั้น ประเทศญี่ปุ่นได้กระจายอำนาจให้กับแต่ละจังหวัด (prefecture) และเทศบาล (municipality) ดูแลตนเองมาเป็นเวลานาน และไม่พบว่าระบบดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการรับมือกับปัญหาภัยพิบัติ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อช่วงเกิดพายุเฮอร์ริเคนแคทรินา ในปี 2548 รัฐบาลได้ใช้การสั่งการแบบ top-down (ซึ่งสะท้อนรูปแบบการรวมศูนย์อำนาจ) แต่กลับพบว่า ล้มเหลวและล่าช้าในการแก้ไขปัญหาและเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชน
การสรุปบทเรียนจากกรณีประเทศไทยว่า การกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทำให้เกิดปัญหาความเอกภาพในการรับมือกับปัญหาภัยพิบัติ และทำให้ system resilience ลดลง น่าจะเป็นการด่วนสรุปจนเกินไป จริงๆ แล้ว ระบบที่จะมี resilience จะเป็นมีระบบที่มีความหลากหลาย (diversity) สูง 2 และด้วยเหตุผลนี้ ธรรมชาติจึงรับมือกับแรงกดดันจากภายนอกได้ดี หรือ “nature is resilient” เพราะธรรมชาติมีความหลากหลายเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน การกระจายอำนาจให้แต่ละท้องถิ่นและพื้นที่ดูแลกันเอง เป็นการเพิ่มความหลากหลายในกระบวนการบริหารจัดการ จึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อ system resilience ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จึงต้องการการวิเคราะห์กันอย่างถี่ถ้วน ปัญหาที่เกิดขึ้นอาจเป็นไปได้ตั้งแต่
จริงๆ แล้ว ยังมีประเด็นที่คนไทยและสังคมไทย สามารถเรียนรู้ได้อีกจำนวนมากจากภัยพิบัติครั้งนี้ อย่าให้ความทุกข์ยากของคนจำนวนหลายล้านคนผ่านไป โดยที่ประเทศไทยและสังคมไทยไม่ได้ประโยชน์เลย
พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข
เหยื่อน้ำท่วมรายที่ xx,xxx,xxx
------------------------------------------------------------------------------------
1.ระดับ แรงกดดันภายนอกที่แต่ละระบบจะรับมือได้ โดยไม่สูญการทำหน้าที่ตามปรกติ เรียกว่า ecological resilience ขณะที่ระยะเวลาที่ระบบฟื้นคืนสู่ระดับปรกติหลังได้รับแรงกดดันจากภายนอก เรียกว่า engineering resilience
2.นอกจาก ความหลากหลาย (diversity) แล้ว ระบบที่มี resilience จะต้องมีประสิทธิภาพ (efficiency) ความสามารถในการปรับตัว (adaptability) ซึ่งแสดงออกผ่านความโปร่งใสและความคล่องตัว/ยืดหยุ่นของกลไกสำคัญต่างๆ และความเชื่อมแน่นทางสังคม (social cohesion) ซึ่งแสดงออกผ่านความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวของผู้คนในสังคม
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการให้บริการเว็บไซต์ของ สวรส เพื่อให้ท่านสามารถเข้าใช้งานในส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ รวมถึงช่วยจดจำข้อมูลที่ท่านเคยให้ไว้ผ่านเว็บไซต์ การปิดการใช้งานคุกกี้ประเภทนี้จะส่งผลให้ท่านไม่สามารถใช้บริการในสาระสำคัญของ สวรส. ซึ่งจำเป็นต้องเรียกใช้คุกกี้ได้